ความรุนแรงของโรคเบาหวานลงไตจะแบ่งออกได้เป็น 2 ระยะคือ ภาวะไมโครแอลบูมิน (Microalbumin) และ ภาวะแมคโครแอลบูมิน (Macroalbumin) ความรุนแรงจะขึ้นอยู่กับระดับโปรตีนแอลบูมินที่ตรวจพบในปัสสาวะ หากปริมาณโปรตีนแอลบูมินที่อยู่ในปัสสาวะมีปริมาณ 30 – 300 มิลลิกรัมต่อวันคือภาวะไมโครแอลบูมิน ส่วนภาวะแมคโครแอลบูมินจะมีปริมาณโปรตีนแอลบูมินมากกว่า 300 มิลลิกรัมต่อวันขึ้นไป แต่หากผู้ป่วยเบาหวานควบคุมอาการของโรคได้อย่างดีเมื่อเริ่มภาวะไมโครแอลบูมินก็จะมีโอกาสกลับคืนสู่ภาวะปกติได้
สิ่งที่แย่สำหรับผู้ป่วยเบาหวานที่เริ่มเข้าสู่ภาวะไมโครแอลบูมินคืออาการของโรคเบาหวานลงไตในระยะนี้จะไม่มีอาการอะไรที่ให้สังเกตได้อย่างเด่นชัดทำให้ผู้ป่วยไม่ตัวกว่าจะรู้ตัวก็เข้าสู่ภาวะแมคโครแอลบูมินเสียแล้ว ปริมาณของโปรตีนแอลบูมินที่อยู่ในปัสสาวะจะรั่วออกมาจากไตหากรั่วมากขึ้นจะทำให้อาการเบาหวานลงไตชัดเจนมากขึ้น
สิ่งสำคัญคืออย่าประมาทผู้ป่วยเบาหวานต้องดูแลสุขภาพโดยการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมจำกัดอาหารประเภทโปรตีน ควบคุมอาหารและความดันโลหิต (Blood Pressure) อย่างเคร่งครัด ไม่ใช่ว่าพออาการโรคเบาหวานไม่ได้กำเริบก็ไม่เห็นประโยชน์ที่จะควบคุมดูแลสุขภาพ การจะตรวจพบว่าผู้ป่วยเริ่มเป็นเบาหวานลงไตในภาวะไมโครแอลบูมินนั้นต้องอาศัยการตรวจปัสสาวะโดยวิธีพิเศษซึ่งผู้ป่วยส่วนมากไม่ค่อยทำกันจึงทำให้อาการเบาหวานลงไตค่อยๆสะสมมากขึ้นกว่าผู้ป่วยจะรู้ตัวก็เข้าสู่ภาวะแมคโครแอลบูมินแล้ว
เบาหวานลงไตมักจะแสดงอาการที่เท้าคือ เท้าบวมอาจบวมบ้างยุบบ้างสลับกันไปแล้วเท้าก็จะบวมถาวรจนลุกลามกลายเป็นบวมไปทั้งตัว สิ่งที่เกิดขึ้นไปพร้อมกับเบาหวานลงไตคือการมีความดันโลหิตสูง (Hypertension) จนสุดท้ายจะเข้าสู่ภาวะไตวายเรื้อรังซึ่งจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ซึมจนไม่มีสติและอาจชักได้ นอกจากนี้อาจมีอาการน้ำท่วมปวดและภาวะหัวใจล้มเหลวอีกด้วย
ภาวะไตวายเรื้อรัง Chronic renal failure (CRF) จะรักษาโดยการล้างไต อาจจะล้างไตโดยวิธีล้างไตโดยการฟอกไตผ่านเครื่องไตเทียม หรือการล้างไตผ่านทางช่องท้อง หากเบาหวานลงไตจนกลายเป็นภาวะไตวายเรื้อรังแล้วในขั้นสุดท้ายของการรักษาคือการผ่าตัดเปลี่ยนไต ทั้งนี้ผู้ป่วยต้องมีสภาพร่างกายและมีไตที่เหมาะสมกับเนื้อเยื่อของผู้ป่วยจึงจะสามารถรักษาโดยการผ่าตัดเปลี่ยนไตได้.