tag:blogger.com,1999:blog-73070012338047341952024-03-13T14:19:14.484+07:00โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus) สาเหตุ อาการและการรักษาความรู้เกี่ยวกับ โรคเบาหวาน สาเหตุโรคเบาหวาน อาการโรคเบาหวาน ประเภทเบาหวาน แผลเบาหวานและวิธีปฏิบัติตัวเมื่อเป็นโรคเบาหวานเพื่อจะได้อยู่กับเบาหวานอย่างปกติสุขUnknownnoreply@blogger.comBlogger33125tag:blogger.com,1999:blog-7307001233804734195.post-91061554499564718732011-04-20T23:18:00.007+07:002024-01-07T22:22:01.698+07:00โรคหลอดเลือดแดงอุดตัน (Atherosclerosis) และการป้องกัน<b>โรคหลอดเลือดแดงอุดตัน</b> (Atherosclerosis) มักจะพบได้บ่อยร่วมกับภาวะเส้นเลือดสมองตีบหรือภาวะหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจตีบโดยเฉพาะกับผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ที่สูบบุหรี่จัดหรือคนที่มีความดันโลหิตสูง การตรวจเช็คความยืดหยุ่นของหลอดเลือดและการตรวจเช็คการอุดตันของหลอดเลือดแดงสามารถตรวจสอบได้ด้วยเทคโนโลยีที่วงการแพทย์ยอมรับและเชื่อถือคือ ABI (Ankle-Brachial Index) และ PWV (Pulse Wave Velocity) เป็นการตรวจเช็คหลายๆจุดของร่างกายพร้อมกันเพื่อค้นหาการอุดตันของหลอดเลือดแดง การตรวจร่างกายด้วย ABI นี้สามารถนำไปสู่การตรวจพบโรคอื่นๆที่สำคัญอีกด้วย<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjT9P8YlYSlxPBKSHfDf6yswkw9vgtPM_wBj9Yiae0SwDlwo-_tefFzIg4Pb3izRzJ_KoSdBLAIjvV12KyHlS0mIxjGp8tpAv0iSex8YuMlM800H_p4i9oziu0GFgce5CbapgJhrHax3ElZeN_rg4tahZXB2dfqQrb-PlqFsC7aULxIWojlGU2pp6vuvZZT/s300/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%99.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" data-original-height="200" data-original-width="300" height="200" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjT9P8YlYSlxPBKSHfDf6yswkw9vgtPM_wBj9Yiae0SwDlwo-_tefFzIg4Pb3izRzJ_KoSdBLAIjvV12KyHlS0mIxjGp8tpAv0iSex8YuMlM800H_p4i9oziu0GFgce5CbapgJhrHax3ElZeN_rg4tahZXB2dfqQrb-PlqFsC7aULxIWojlGU2pp6vuvZZT/s1600/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%99.jpg" width="300" /></a></div><div><b><br /></b></div><div><b>หลอดเลือดในร่างกายของคนเรา</b>ก็เปรียบเหมือนกับท่อน้ำที่เมื่อใช้งานไปนานๆแล้วท่อน้ำก็จะเกิดตะกอนหรือสนิมจับตามผนังท่อน้ำทำให้ขนาดของท่อตีบลงหรือเล็กลง กระแสน้ำที่เคยไหลได้คล่องกลับไหลได้เบาลงกว่าน้ำจะไหลไปถึงปลายทางก็แทนจะไม่มีแรงดันของน้ำเหลืออยู่เลย</div><div><b><br /></b></div><div><b>หลอดเลือดของคน</b>ก็เช่นเดียวกันหากเกิดการตีบ (Stenosis) หรืออุดตัน (Occlusion) เมื่อใดหน้าที่ในการนำเลือดไปสู่อวัยวะต่างๆของร่างกายก็จะน้อยลงๆ อวัยวะต่างๆก็จะได้รับเลือดไปหล่อเลี้ยงน้อยลงด้วย หากสถานการณ์เช่นนี้เกิดกับอวัยวะส่วนที่สำคัญของร่างกายเช่น แขน ขา สมอง หัวใจ ฯลฯ ก็จะส่งผลอย่างรุนแรงต่ออวัยวะส่วนนั้นๆเช่น แขน ขาเกิดอาการหมดแรง เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต ฯลฯ</div><div><b><br /></b></div><div><b>หลอดเลือดแดงที่ตีบแคบหรืออุดตัน</b> เป็นสาเหตุสำคัญที่นำไปสู่โรคหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมองซึ่งเป็นโรคที่พบได้บ่อยมากที่สุดของโรคระบบประสาทซึ่งโรคนี้เป็นสาเหตุทำให้พิการ เป็นอัมพาตหรือเสียชีวิต ส่วนโรคหลอดเลือดส่วนกลางมักเกิดอาการกับอวัยวะเช่น แขน ขา ทำให้มีอาการปวดและมีความเสี่ยงที่จะต้องถูกตัดแขนหรือขาได้ โรคต่างๆเหล่านี้สามารถป้องกันได้หากมีการเฝ้าระวังและรักษาทันทีที่ตรวจพบเสียแต่เนิ่นๆ</div><div><b><br /></b></div><div><b>การป้องกันภาวะหลอดเลือดแดงแข็งหรืออุดตัน</b> (Atherosclerosis) ปัจจัยสำคัญคือเรื่องอาหารการกินและพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดโรค ให้งดบุหรี่-เหล้าโดยเด็ดขาดและพยายามควบคุมระดับไขมันชนิดต่างๆในเลือด ระดับความดันโลหิตและระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง ให้เลือกกินอาหารที่มีไขมันและคลอเรสเทอรอลต่ำเช่น ไข่ขาว เนื้อปลา นมพร่องมันเนย ผักและผลไม้ เปลี่ยนวิธีการปรุงอาหารจากการใช้น้ำมันปรุงอาหาร (ทอด-ผัด) เป็นวิธีปรุงอาหารที่ไม่ใช้น้ำมันในการปรุงเช่น การต้ม นึ่ง ย่างหรืออบ หากอดไม่ได้หรือจำเป็นที่จะต้องกินอาหารทอดให้ทอดโดยใช้น้ำมันถั่วเหลือง</div><div><b><br /></b></div><div><b>นอกจากการดูแลตัวเอง</b>เรื่องอาหารการกินแล้ว สิ่งที่ต้องทำควบคู่ไปกับการควบคุมอาหารคือการออกกำลังกายให้ออกกำลังกายแบบต่อเนื่องประมาณครึ่งชั่วโมงต่อวันโดยพยายามทำให้ได้อย่างน้อยที่สุด 3 วัน/สัปดาห์เช่น การเต้นแอโรบิค การวิ่งจ๊อกกิ้ง ว่ายน้ำหรือการเดินเร็ว นอกจากนี้ควรควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานและเข้ารับการตรวจสุขภาพหรือตรวจเช็คความยืดหยุ่นของหลอดเลือดเป็นระยะๆตามคำแนะนำของแพทย์<!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:UseFELayout/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--></div>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-7307001233804734195.post-65128207294955451242011-02-20T19:09:00.004+07:002024-01-07T18:02:21.958+07:00โรคไตวาย ความรู้เกี่ยวกับโรคไต (Kidney Disease)<b>ไต (Kidney)</b> เป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของคนเรา ไตเป็นอวัยวะที่มีรูปร่างคล้ายเมล็ดถั่ว อยู่ทางด้านหลังนอกช่องท้อง โดยปกติแล้วคนๆหนึ่งจะมีไต 2 ข้าง ไตแต่ละข้างจะประกอบด้วยหน่วยไตหนึ่งล้านหน่วยโดยประมาณและในแต่ละหน่วยไตจะประกอบด้วยตัวกรองและหลอดไต (Kidney Tubule) หน่วยไตทั้งหมดประมาณสองล้านหน่วย(รวมทั้ง 2 ข้าง) จะทำหน้าที่กรอง ดูดซึมและคัดหลั่งสารต่างๆจนกระทั่งขับทิ้งออกจากร่างกายไปกับน้ำปัสสาวะวันละประมาณ 1 ลิตร<div><b><br /></b></div><div><b>หน้าที่ของไต</b>ที่สำคัญมี 2 ประการคือ 1.ทำหน้าที่ขับของเสียออกจากร่างกายและควบคุมระดับเกลือแร่ในร่างกายให้อยู่ในระดับปกติ 2.ไตมีหน้าที่สร้างฮอร์โมน (Hormone) และสารต่างๆ ฮอร์โมนที่สำคัญที่คอยกระตุ้นไขกระดูกให้สร้างเม็ดเลือดแดงคือฮอร์โมนเออริโทรพอยเอติน (Erythropoietin)</div><div><b><br /></b></div><div><b>หลายๆ คนเคยรู้มาว่า</b> คนเราสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างปกติด้วยการมีไตเพียงข้างเดียว ดังนั้นคนที่ป่วยเป็นโรคไตจนถึงขั้นภาวะไตวายนั้นหมายถึงการเกิดความผิดปกติกับการทำงานของไตทั้ง 2 ข้าง ซึ่งชนิดของไตวายนั้นอาจเป็นได้ทั้ง “ไตวายเฉียบพลัน” (Acute renal failure) หรือ “ไตวายเรื้อรัง” (chronic renal failure) ผลลัพธ์ของร่างกายที่เกิดภาวะไตวายคือการมีน้ำ ของเสียและเกลือแร่ต่างๆคั่งค้างอยู่ในกระแสเลือด ไขกระดูกที่ทำหน้าที่สร้างเม็ดเลือดแดงก็สร้างเม็ดเลือดได้น้อยลงทำให้ร่างกายเกิดภาวะซีด ถ้าเราสามารถแก้ไขที่สาเหตุของโรคได้จะทำให้ไตสามารถกลับมาทำหน้าที่ได้เหมือนเดิม (ไตวายเฉียบพลัน) แต่สำหรับกรณีไตวายเรื้อรังถึงแม้เราจะแก้ไขสาเหตุของโรคแล้วแต่การเสื่อมหน้าที่ของไตยังคงมีอยู่และคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนเข้าสู่ภาวะไตวายเรื้อรังในระยะสุดท้าย</div><div><b><br /></b></div><div><b>การวัดระดับการทำงานของไต</b> ทำได้โดยการตรวจเลือดแล้ววัดค่า 2 ค่าในเลือดคือ 1.ค่ายูเรียไนโตรเจนในเลือด (Blood Urea Nitrogen) 2.ค่าครีเอตินีม (Creatinine) ค่า BUN (Blood Urea Nitrogen) จะแสดงให้เห็นถึงระดับของเสียที่เกิดจากการย่อยสลายโปรตีนและคั่งค้างอยู่ในเลือดซึ่งค่าปกติจะอยู่ที่ 10-20 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หากประสิทธิภาพการทำงานของไตลดลงก็จะมีของเสียคั่งค้างอยู่ในเลือดมากขึ้นทำให้ค่าบียูเอ็นสูงขึ้น ส่วนค่าครีเอตินีมแสดงถึงการทำงานของไต หากประสิทธิภาพการทำงานของไตลดลงจะทำให้ค่าครีเอตินีมในเลือดสูงขึ้น กล่าวโดยสรุปคือหากการทำงานของไตลดลง (ไตเสื่อม) จะทำให้ทั้งค่าบียูเอ็นและค่าครีเอตินีมในเลือดสูงขึ้น</div><div><b><br /></b></div><div><b>ภาวะไตวายเฉียบพลัน</b> (Acute renal failure) มีสาเหตุสำคัญคือภาวะที่เลือดไปเลี้ยงไตลดลง การได้รับสารพิษหรือยาที่ทำให้เกิดพิษกับไต ส่วนภาวะไตวายเรื้อรังมีสาเหตุสำคัญจากการอักเสบเรื้อรังของตัวกรองไตหรือหลอดไต โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus) โรคไตจากความดันโลหิตสูง การอุดตันของระบบทางเดินปัสสาวะ (จากต่อมลูกหมากหรือก้อนนิ่ว) โรคเกาต์ โรคไตซึ่งเกิดจากการกินยาแก้ปวดเป็นระยะเวลานานและโรคเอสแอลอี (SLE)<div style="text-align: justify;"></div></div>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-7307001233804734195.post-74884013961032105292011-01-26T22:42:00.002+07:002024-02-15T22:05:08.854+07:00ผู้ป่วยเบาหวาน(Diabetes) กับอาหารมังสวิรัติ (Vegetarian)<!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:UseFELayout/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style>
/* Style Definitions */
table.MsoNormalTable
{mso-style-name:ตารางปกติ;
mso-tstyle-rowband-size:0;
mso-tstyle-colband-size:0;
mso-style-noshow:yes;
mso-style-parent:"";
mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt;
mso-para-margin:0cm;
mso-para-margin-bottom:.0001pt;
mso-pagination:widow-orphan;
font-size:10.0pt;
font-family:"Times New Roman";
mso-fareast-font-family:"Times New Roman";}
</style> <![endif]--> <b>อาหารมังสวิรัติ(Vegetarian) </b>เป็นที่สนใจสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคภัยไข้เจ็บร้ายแรงหลายๆโรคเช่น โรคหลอดเลือด โรคหัวใจ โรคมะเร็ง รวมทั้งโรคเบาหวานด้วย เนื่องจากมีข้อมูลมากมายที่แสดงให้เห็นว่าคนที่กินมังสวิรัติจะมีอายุยืนกว่า สุขภาพดีกว่าและมีโอกาสเป็นโรคภัยไข้เจ็บที่<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiTmbwmkbAZ552mkGB4PV1fFZSbt5eN_G4jHXfp48Cyczij8AtB3PGFiKcz2EzPi0Qgd7CVQtPfI0UI3UCt0ULwpRB-Eyak1x2NVeX-IoDt3wOH7aUDKLePE1a0Er9ewOQgR62h5dmMthAtUNzU9PzwXnKxSXAjwCvpQCNApQ186syd70dsIQ2kCBuaHbBb/s261/vegetarian_food.png" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" data-original-height="200" data-original-width="261" height="200" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiTmbwmkbAZ552mkGB4PV1fFZSbt5eN_G4jHXfp48Cyczij8AtB3PGFiKcz2EzPi0Qgd7CVQtPfI0UI3UCt0ULwpRB-Eyak1x2NVeX-IoDt3wOH7aUDKLePE1a0Er9ewOQgR62h5dmMthAtUNzU9PzwXnKxSXAjwCvpQCNApQ186syd70dsIQ2kCBuaHbBb/s1600/vegetarian_food.png" width="261" /></a></div><br />ร้ายแรงน้อยกว่า โรคภัยไข้เจ็บที่ร้ายแรงเหล่านี้ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากกับพฤติกรรมการกินอาหารที่ไม่ถูกต้อง (ไม่ถูกสัดส่วนและไม่ถูกหลักโภชนาการ) การควบคุมโรคที่ร้ายแรงต่างๆ จำเป็นต้องใช้การควบคุมการกินอาหารให้ถูกต้องเพื่อเป็นการรักษาและบำบัดโรคทั้งนี้รวมถึงผู้ป่วยโรคเบาหวานด้วย<div><b><br /></b></div><div><b>คนที่กินมังสวิรัติ</b>ไม่ว่าจะเป็นประเภทที่เคร่งครัดต่อการกินมังสวิรัติ (Vegan) หรือประเภทที่งดเว้นไม่กินเฉพาะเนื้อสัตว์แต่ยังคงกินไข่และนม (Lacto-ovo-vegetarian) ก็สามารถได้รับประโยชน์จากการกินมังสวิรัติได้รวมทั้งผู้ป่วยโรคเบาหวาน (Diabetes) หากมีการวางแผนการกินอาหารที่ถูกต้อง คนที่กินอาหารมังสวิรัติจะมีปัญหาเรื่องโรคหัวใจ ระดับไขมันในเลือดและโรคความดันโลหิตน้อยกว่าคนที่ไม่กินมังสวิรัติเนื่องจากการกินมังสวิรัติเป็นการลดอาหารจำพวกไขมันที่อิ่มตัวและคอเลสเทอรอลไปโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ยังได้ประโยชน์จากสารต้านอนุมูลอิสระ สารไลโคพีน (Lycopene) ไอโซฟลาโวน (Isoflavone) และเส้นใยอาหาร (Fiber) กับโพแทสเซียมอีกด้วย</div><div><b><br /></b></div><div><b>คนที่กินมังสวิรัติส่วนใหญ่</b>จะมีดรรชนีมวลกายต่ำเพราะอาหารมังสวิรัติมีปริมาณเส้นใยอาหารมากกว่าอาหารทั่วไป 2-3 เท่า อาหารที่มีเส้นใยมากยังช่วยลดปริมาณแคลอรีที่จะได้รับจากอาหารจึงทำให้คนที่กินอาหารมังสวิรัติสามารถควบคุมน้ำหนักได้ดีกว่าและอาหารมังสวิรัติส่วนมากจะมีส่วนประกอบของธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสีสูงจึงมีธาตุโครเมียมที่ช่วยเสริมการทำงานของอินซูลิน (Insulin) ให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น</div><div><b><br /></b></div><div><b>อาหารมังสวิรัติ</b>ยังช่วยลดโรคแทรกซ้อนจากโรคไต เนื่องจากมีปริมาณโปรตีนต่ำกว่าอาหารทั่วไปอีกทั้งโปรตีนที่ได้จากอาหารมังสวิรัตินั้นเป็นโปรตีนจากพืชที่ช่วยลดโปรตีนในปัสสาวะ (Proteinuria) และลดอัตราการกรองปัสสาวะของไต (Glomerular filtration rate) จึงช่วยให้ผู้ป่วยเบาหวานลดอันตรายที่จะเกิดจากไตได้</div><div><b><br /></b></div><div><b>หลักการควบคุมอาหารของผู้ป่วยเบาหวาน</b> (Diabetes Nutrition Guide) ต้องทำให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นอยู่จริงและความต้องการสารอาหารของร่างกายในแต่ละคน โดยการควบคุมอาหารต้องให้มีความเหมาะสมเพื่อให้ร่างกายของผู้ป่วยเบาหวานได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน มีน้ำหนักอยู่ในระดับที่เหมาะสม สามารถควบคุมระดับน้ำตาลและไขมันให้ใกล้เคียงกับระดับปกติและสามารถป้องกันหรืออย่างน้อยที่สุดก็ชะลอโรคแทรกซ้อนจากเบาหวานให้เกิดช้าที่สุด.</div>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-7307001233804734195.post-86617324190252737432010-11-04T21:16:00.001+07:002024-01-07T17:58:36.104+07:00การรักษาโรคเบาหวานขึ้นตาด้วยวิธียิงแสงเลเซอร์(Laser for diabetic retinopathy)<link href="file:///C:%5CDOCUME%7E1%5CCHOKEC%7E1%5CLOCALS%7E1%5CTemp%5Cmsohtml1%5C01%5Cclip_filelist.xml" rel="File-List"></link><b>เบาหวานขึ้นตา(Diabetic Retinopathy)</b> เป็นผลแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานที่เกิดจากการไม่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติปล่อยให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงอยู่ตลอดเวลาจนทำให้มีเลือดออกบริเวณจอรับภาพในตาซึ่งอาการอาจลุกลามรุนแรงจนทำให้ตาบอดได้ สาเหตุจากระดับน้ำตาลในเลือดสูงจนทำให้เส้นเลือดฝอยที่ไปเลี้ยงประสาทตาเกิดการอุดตันทำให้ร่างกายสร้างเส้นเลือดขึ้นมาเพื่อทดแทนเส้นเลือดเดิมที่เกิดการอุดตัน<div><b><br /></b></div><div><b>อาการเบาหวานขึ้นตา</b>เมื่อเป็นถึงระดับที่มีเส้นเลือดฝอยเกิดขึ้นใหม่ซึ่งต้องรักษาด้วยวิธีการยิงแสงเลเซอร์ที่จอตาจะช่วยลดระดับความรุนแรงของโรคที่เกิดกับจอตาได้ แสงเลเซอร์จะถูกเลือกยิงไปยังส่วนต่างๆของจอตาที่เกิดการอุดตันของเส้นเลือดเฉพาะในส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการรับภาพหลักเพื่อหยุดการเจริญเติบโตของเส้นเลือดที่ผิดปกติ</div><div><b><br /></b></div><div><b>การรักษาโรคเบาหวานขึ้นตา</b>โดยวิธียิงแสงเลเซอร์นั้น(Laser for diabetic retinopathy) ควรทำในระยะที่เลือดในตายังออกมาไม่มากจนถึงขั้นบังประสาทตา หากผู้ป่วยที่มีอาการเบาหวานขึ้นจอตาแล้วแต่ยังไม่มีเลือดออกมาบังตาแพทย์จะแนะนำให้รักษาด้วยการยิงแสงเลเซอร์ซึ่งเป็นระยะของโรคที่การรักษาจะได้ผลดีที่สุดเนื่องจากการมองเห็นของผู้ป่วยในระยะนี้ยังลดลงไม่มากเมื่อรักษาด้วยการยิงแสงเลเซอร์จะเป็นการกำจัดและป้องกันการลุกลามของโรคในระยะต่อไปได้</div><div><b><br /></b></div><div><b>แต่ในทางปฏิบัติ</b>เนื่องจากผู้ป่วยในระยะที่เบาหวานขึ้นจอตาแต่ยังไม่มีเลือดออกมาบังตายังมีการมองเห็นที่ดีอยู่ เมื่อจักษุแพทย์แนะนำให้รักษาด้วยการยิงแสงเลเซอร์มักได้รับการปฏิเสธจากผู้ป่วย ผู้ป่วยควรรับฟังการอธิบายจากแพทย์อย่างละเอียดและทำความเข้าใจว่าหากผู้ป่วยไม่ยอมรักษาด้วยการยิงแสงเลเซอร์และปล่อยให้อาการของโรคลุกลามต่อไปกว่าจะมาพบแพทย์ก็เป็นระยะที่มีเลือดออกในตามากแล้ว(การมองเห็นจะลดลงมาก) นั่นจะทำให้การรักษายากขึ้นเพราะแพทย์ต้องผ่าตัดเอาเลือดที่ออกในลูกตาออกก่อนแล้วจึงรักษาด้วยการยิงแสงเลเซอร์ หากผู้ป่วยยอมรับการรักษา(ยิงเลเซอร์)ตั้งแต่ระยะที่ยังไม่มีเลือดออกมาบังตาจะทำให้การรักษาได้ผลดีกว่า</div><div><b><br /></b></div><div><b>ผลการรักษาเบาหวานขึ้นตา</b>(Diabetic Retinopathy) หลังจากการผ่าตัดและยิงแสงเลเซอร์แล้วจะได้ผลมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับระยะของโรคว่าลุกลามไปแค่ไหนแล้ว ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อนผู้ป่วยเบาหวานควรได้รับการตรวจตาอย่างละเอียดอย่างน้อยปีละครั้งแม้ว่าจะไม่มีความผิดปกติทางด้านสายตาก็ตาม เมื่อตรวจพบว่าเบาหวานเริ่มขึ้นประสาทตาแล้วการนัดมาตรวจอาจจะต้องเพิ่มความถี่มากขึ้นจนเมื่ออาการของโรคเข้าใกล้ระยะอันตรายแล้วจักษุแพทย์ก็จะแนะนำให้รักษาด้วยการยิงแสงเลเซอร์ในระยะของโรคที่เหมาะสม</div>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-7307001233804734195.post-21560410380132248632010-09-24T21:19:00.001+07:002024-01-07T17:56:49.320+07:00อาการผิดปกติของร่างกายที่พบในผู้ป่วยเบาหวาน(Diabetes Symptoms) และการแก้ไข<!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:UseFELayout/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style>
/* Style Definitions */
table.MsoNormalTable
{mso-style-name:ตารางปกติ;
mso-tstyle-rowband-size:0;
mso-tstyle-colband-size:0;
mso-style-noshow:yes;
mso-style-parent:"";
mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt;
mso-para-margin:0cm;
mso-para-margin-bottom:.0001pt;
mso-pagination:widow-orphan;
font-size:10.0pt;
font-family:"Times New Roman";
mso-fareast-font-family:"Times New Roman";
mso-bidi-font-family:"Angsana New";}
</style> <![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <o:shapedefaults v:ext="edit" spidmax="1026"/> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <o:shapelayout v:ext="edit"> <o:idmap v:ext="edit" data="1"/> </o:shapelayout></xml><![endif]--> <b>โรคเบาหวาน(Diabetes Mellitus)</b> ทำให้ระบบการทำงานในส่วนต่างๆของร่างกายได้รับผลกระทบมากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไป อาการผิดปกติของร่างกายที่เกิดจากโรคเบาหวานมีหลายอย่างเช่น ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ภาวะความดันโลหิตต่ำเมื่อเปลี่ยนท่า ภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศในเพศชาย ภาวะมีเหงื่อออกมากผิดปกติ ภาวะการติดเชื้อ ภาวะปัสสาวะลำบาก ภาวะผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร ฯลฯ<div><b><br /></b></div><div><b>ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ(Hypoglycemia)</b> มีอาการดังต่อไปนี้เช่น เหงื่อออกมาก ตัวเย็น มือสั่น รู้สึกอ่อนเพลีย มึนงง หงุดหงิดฉุนเฉียวขึ้นมาทันทีทันใด หัวใจเต้นแรงและเร็ว ปวดหรือมึนศีรษะ เห็นภาพซ้อนตาพร่ามัว หิวมาก หน้าซีดพูดไม่ชัด ชักและหมดสติ อาการภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำมักเกิดจาก 3 สาเหตุคือ การฉีดอินซูลิน (Insulin) หรือกินยาลดระดับน้ำตาลมากไป การกินอาหารผิดเวลาหรือเว้นช่วงระหว่างมื้ออาหารนานเกินไปและสาเหตุสุดท้ายคือการทำงานหรือออกกำลังกายหนักเกินไป</div><div><b><br /></b></div><div><b>การรักษาอาการภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ</b>(Hypoglycemia) ทำได้ง่ายหากอาการไม่เป็นมากจนหมดสติ เพียงแต่ต้องรู้จักสังเกตอาการของโรคให้ดี หากรู้สึกว่ามีอาการของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำอย่ารอให้อาการดังกล่าวเป็นมากขึ้นแล้วคิดว่าสักครู่ก็หายเองได้ ให้รีบแก้ไขอาการเหล่านั้นด้วยวิธีง่ายๆคือ เมื่อรู้สึกถึงอาการเตือนของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำและรู้แน่ชัดว่าเกิดจากการกินอาหารผิดเวลาให้รีบแก้ไขโดยการกินอาหารทันทีหรืออย่างน้อยต้องมีอาหารว่างไว้รองท้องก่อน อาการจะค่อยๆดีขึ้นจนเป็นปกติ</div><div><b><br /></b></div><div><b>หากเกิดอาการภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ</b>ค่อนข้างมากควรแก้ไขโดยกินอาหารที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้โดยเร็วเพื่อเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดโดยเร็วเช่น ขนมหวาน น้ำหวาน ลูกกวาด ฯลฯ แต่หากสาเหตุเกิดจากการทำงานหรือออกกำลังกายหนักเกินไปก็ให้แก้ไขด้วยการหยุดทำงานหรือหยุดการออกกำลังกายนั้นแล้วให้ผู้ป่วยนั่งหรือนอนพักจนกว่าอาการจะดีขึ้น ระหว่างรอสังเกตอาการประมาณ 10-20 นาทีหากอาการยังไม่ดีขึ้นให้กินอาหารเพิ่มเติม ถ้าผู้ป่วยเกิดหมดสติไป อย่าพยายามป้อนอาหารให้ผู้ป่วยขณะหมดสติโดยเด็ดขาดให้รีบนำผู้ป่วยไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด</div><div><b><br /></b></div><div><b>การป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ</b>(Hypoglycemia) ของผู้ป่วยเบาหวานให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์โดยเคร่งครัดในทุกๆเรื่องไม่ว่าจะเป็นการฉีดอินซูลิน(Insulin) การกินยาลดระดับน้ำตาลหรือการควบคุมอาหารและเวลาการกินอาหาร หมั่นตรวจระดับน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอ หากต้องกินยาอื่นๆที่นอกเหนือจากที่แพทย์สั่งให้ปรึกษาแพทย์ก่อนเพราะยาเหล่านั้นอาจส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดได้และบอกให้ญาติหรือคนใกล้ตัวรู้ถึงอาการของโรคตลอดจนวิธีแก้ไขเพื่อจะได้ช่วยเหลือผู้ป่วยได้ทันท่วงที</div>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-7307001233804734195.post-40901987413284860192010-03-03T18:31:00.000+07:002024-01-07T17:55:18.755+07:00การวัดระดับน้ำตาลในเลือด (Blood Sugar Measurement) ของผู้ป่วยเบาหวาน<b>ระดับน้ำตาลในเลือด (Blood Sugar Level)</b> ของคนปกติจะสูงขึ้นไม่มากนักหลังจากกินอาหารแต่ละมื้อและระดับน้ำตาลในเลือดจะลดลงสู่ระดับปกติอย่างรวดเร็วภายในเวลา 2 ชั่วโมง แต่สำหรับผู้ป่วยเบาหวานแล้วระดับน้ำตาลในเลือดหลังจากการกินอาหารแล้วจะสูงขึ้นมากและจะลดลงสู่ระดับปกติค่อนข้างช้า ระดับน้ำตาลในเลือดหลังการกินอาหารจะสูงขึ้นมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับประเภทของอาหารที่กินและการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำตาลในเลือดยังขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคเบาหวานที่เป็นอยู่ด้วย ถ้าเป็นเบาหวานมากน้ำตาลในเลือดก็จะเพิ่มขึ้นมากหลังจากการกินอาหาร การหาวิธีที่จะบอกค่าระดับน้ำตาลในเลือดเพื่อใช้ในการประเมินผลการควบคุมโรคเบาหวานอาจทำได้ดังนี้<div><b><br /></b></div><div><b>Fasting Blood Sugar (FBS)</b> เป็นการวัดระดับน้ำตาลในเลือดโดยตรงโดยการเจาะเลือดก่อนการกินอาหารเช้า (ห้ามกินอะไรหลังเที่ยงคืนก่อนการเจาะเลือด) การวัดระดับน้ำตาลในเลือดด้วยวิธี FBS นี้จะขึ้นลงเร็วตามอาหารที่กินเข้าไปทำให้นำผลมาเปรียบเทียบในการควบคุมเบาหวานได้ยาก จึงจำเป็นต้องหาวิธีวัดน้ำตาลในเลือดด้วยวิธีอื่นที่ให้ผลแม่นยำและมีความแน่นอนกว่า</div><div><b><br /></b></div><div><b>เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูง</b>จะมีการคั่งของน้ำตาลในเลือด น้ำตาลจะไปจับตัวกับสารโปรตีนของเนื้อเยื่อต่างๆและจับกับโปรตีนที่ลอยอยู่ในกระแสเลือดจนไม่สามารถหลุดออกมาเป็นโมเลกุลอิสระของน้ำตาลได้จนกว่าโปรตีนนั้นจะสูญสลายหรือมีการสร้างขึ้นมาทดแทน ก่อนการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหากมีการกินอาหารจะไม่ทำให้เปอร์เซ็นต์ของน้ำตาลที่เกาะกับโปรตีนมีการเปลี่ยนแปลง</div><div><b><br /></b></div><div><b>ดังนั้นหากวัดระดับน้ำตาล</b>ที่จับตัวเกาะกับโปรตีนจะทำให้ได้ผลการวัดระดับน้ำตาลที่แม่นยำกว่าวิธี FBS โปรตีนที่นิยมวัดเปอร์เซ็นต์น้ำตาลที่จับอยู่ด้วยคือ ฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) เป็นโปรตีนที่อยู่ในเม็ดเลือดซึ่งเราจะเรียกฮีโมโกลบินที่มีน้ำตาลไปเกาะอยู่ด้วยว่า ไกลโคซิเลตฮีโมโกลบิน (Glycosylated Hemoglobin)</div><div><b><br /></b></div><div><b>เมื่อไกลโคซิเลตฮีโมโกลบิน</b>จับตัวกับน้ำตาลที่มีความเข้มข้นสูงจะถูกเรียกว่า ฮีโมโกลบินเอวัน ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับการกำเริบของโรคเบาหวาน ปริมาณของฮีโมโกลบินเอวันจะสะท้อนให้เห็นทั้งเวลาและระดับที่น้ำตาลในเลือดสูงด้วย ในปัจจุบันการวัดระดับน้ำตาลในเลือดจึงนิยมวัดค่ารวมของฮีโมโกลบินเอวัน จะทำให้สามารถนำผลที่ได้ไปประเมินและเปรียบเทียบผลการควบคุมเบาหวานได้แม่นยำกว่า.</div>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-7307001233804734195.post-30863780116385063772010-03-02T23:33:00.000+07:002024-01-07T17:51:34.299+07:00ภาวะการติดเชื้อ (Infections) ในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน (Diabetes)<b>ผู้ป่วยเบาหวานจะมีภูมิคุ้มกันที่ลดต่ำลง</b>ในแทบจะทุกระบบของร่างกาย จึงทำให้ผู้ป่วยเบาหวานอาจเกิดการติดเชื้อโรคได้ง่ายและภาวะการติดเชื้อบางอย่างก็จะลุกลามได้อย่างรวดเร็วจนทำให้เกิดอันตรายต่อผู้ป่วยเบาหวานได้ ภาวะการติดเชื้อที่พบได้บ่อยและเป็นปัญหาในผู้ป่วยเบาหวานมีดังนี้<div><b><br /></b></div><div><b>การติดเชื้อในปอด</b>ของผู้ป่วยเบาหวาน ที่พบมากคือวัณโรคปอด ผู้ป่วยเบาหวานอาจมีอาการไอเรื้อรัง อ่อนเพลีย มีไข้ เบื่ออาหารและน้ำหนักลด การรักษาให้ทำตามคำแนะนำของแพทย์คือกินยาให้ครบถ้วนตามที่แพทย์สั่งก็จะทำให้อาการดีขึ้น</div><div><b><br /></b></div><div><b>การติดเชื้อบริเวณใต้ผิวหนัง</b> มักเกิดการอักเสบบริเวณชั้นผิวหนังจนเป็นตุ่มฝี ตุ่มหนอง ควรติดตามผลการรักษาอย่างใกล้ชิด หากปล่อยปละละเลยอาจทำให้ภาวะการติดเชื้อที่ผิวหนังลุกลามไปได้อย่างรวดเร็ว</div><div><b><br /></b></div><div><b>ภาวะเนื้อตายเน่าของผู้ป่วยเบาหวาน </b>เกิดจากการที่ผู้ป่วยเบาหวานได้รับอุบัติเหตุเล็กน้อยจนเกิดบาดแผลแล้วมีอาการอักเสบ บวมแดง ปวดและอาการจะเป็นมากขึ้นจนแผลกลายเป็นสีดำหรือเกิดเป็นตุ่มน้ำ ภาวะเนื้อตายเน่านี้มีอันตรายมากควรเข้ารับการรักษาในโรคพยาบาลโดยทันที</div><div><b><br /></b></div><div><b>ภาวะที่หูชั้นนอกของผู้ป่วยเบาหวานติดเชื้อ</b>อย่างรุนแรง (Malignant Otitis Externa) จะมีอาการปวดจากการอักเสบของหู มีหนองหรือน้ำเหลืองและเชื้อโรคจะกินลึกลงไปถึงชั้นกระดูกอ่อนบริเวณรอบๆช่องหู อาจลุกลามเข้าไปถึงเยื่อหุ้มสมองและกะโหลกศีรษะจนทำให้เสียชีวิตได้</div><div><b><br /></b></div><div><b>การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ</b>ของผู้ป่วยเบาหวาน ทำให้มีอาการปัสสาวะแสบ ปัสสาวะครั้งละน้อยๆแต่บ่อย ปัสสาวะขุ่น ปวดท้องน้อย ในผู้ป่วยเบาหวานบางรายอาจมีอาการไข้ หนาวสั่น ปวดหลังหรือปวดเอว อาเจียนและลุกลามจนกรวยไตอักเสบเฉียบพลันได้.</div>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-7307001233804734195.post-4415107858486615012010-02-26T23:53:00.000+07:002024-01-07T17:49:24.594+07:00การดูแลสุขภาพเท้าของผู้ป่วยเบาหวาน (Foot Health and Diabetes)<b>สุขภาพเท้าของผู้ป่วยเบาหวาน</b>มีความสำคัญมาก การดูแลเท้าของผู้ป่วยเบาหวานมีจุดประสงค์ที่สำคัญคือป้องกันไม่ให้เกิดแผลกับเท้าของผู้ป่วยเบาหวานโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยเบาหวานที่มีโรคแทรกซ้อนทั้งหลอดเลือดและระบบประสาท หากละเลยไม่ดูแลสุขภาพให้ดีอาจทำให้กลายเป็นปัญหาใหญ่ตามมาได้ในภายหลัง<div><b><br /></b></div><div><b>ผู้ป่วยเบาหวาน</b>จะสูญเสียความรู้สึกในระดับที่แตกต่างกันอันเกิดจากการเสื่อมลงของปลายประสาทที่รับความรู้สึก ผู้ป่วยบางคนอาจเดินไปเตะถูกของแข็งจนเป็นแผลแล้วไม่รู้สึกเจ็บ บางคนอาจเดินไปเหยียบตะปูหรือของมีคมก็ไม่รู้สึกเจ็บ บางคนเดินๆไปรองเท้าหลุดไปจากเท้าแล้วก็ยังไม่รู้สึกหากปล่อยให้ผู้ป่วยเบาหวานเดินเท้าเปล่าต่อไปก็อาจทำให้เท้าเกิดบาดแผลขึ้นได้ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรปล่อยให้เกิดขึ้นกับผู้ป่วยเบาหวาน</div><div><b><br /></b></div><div><b>ผู้ป่วยเบาหวานที่มีบาดแผล</b>แล้วแผลจะหายช้าเนื่องจากการตีบตันของหลอดเลือดที่ทำให้เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงอวัยวะส่วนต่างๆของร่างกายได้โดยเฉพาะเท้า หลอดเลือดแดงเป็นเส้นทางที่ยาและอาหารถูกลำเลียงไปยังบริเวณที่เกิดบาดแผลและยังเป็นทางกำจัดของเสียจากบาดแผลอีกด้วย วิธีสังเกตว่าผู้ป่วยเบาหวานมีปัญหาเกิดขึ้นกับหลอดเลือดคือ อาการปวดขาขณะเดินและอาการนั้นจะหายไปเมื่อหยุดพักสักครู่หนึ่ง</div><div><b><br /></b></div><div><b>สิ่งที่ผู้ป่วยเบาหวานควรให้ความระมัดระวัง</b>คือ อย่าเดินเท้าเปล่าโดยเด็ดขาดไม่ว่าจะอยู่ในบ้านก็ตามให้ใส่รองเท้าแตะขณะอยู่ในบ้านเพราะผู้ป่วยเบาหวานอาจเดินไปเหยียบเศษวัสดุต่างๆที่อาจทำให้เกิดแผลที่เท้าได้โดยไม่รู้ตัว การใช้กระเป๋าน้ำร้อนประคบขาหรือการแช่เท้าในน้ำอุ่นจัดๆของผู้ป่วยเบาหวานก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเพราะปลายประสาทที่เสื่อมอาจทำให้ผู้ป่วยเบาหวานไม่รู้สึกตัวเมื่อถูกน้ำร้อนลวกจนเท้าพองและเป็นแผลได้</div><div><b><br /></b></div><div><b>ผู้ป่วยเบาหวาน</b>ควรงดจากการสูบบุหรี่เพราะจะทำให้การไหลเวียนของเลือดลดลง เส้นเลือดจะอุดตันเนื่องจากการสูบบุหรี่ หากมีหนังแข็งหรือตาปลาเกิดขึ้นบริเวณเท้าไม่ควรตัดออกเองควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำการรักษา เนื่องจากเท้าเป็นอวัยวะที่ต้องใช้เดินและสัมผัสกับพื้นตลอดเวลาจึงทำให้มีโอกาสที่จะเกิดบาดแผลได้มาก ผู้ป่วยเบาหวานควรหมั่นตรวจดูเท้าของตนเองเป็นประจำ อย่าปล่อยให้เกิดแผลกับเท้าได้โดยเด็ดขาดเพราะเป็นที่รู้กันดีว่าผู้ป่วยเบาหวานที่เป็นแผลแล้วจะหายช้าและมีโอกาสติดเชื้อลุกลามกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้เลย.</div>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-7307001233804734195.post-14032412782410515322010-02-17T19:00:00.000+07:002024-01-07T17:47:44.727+07:00ผู้ป่วยเบาหวานควรดูแลสุขภาพอย่างไร (Diabetes Health Care)<b>ผู้ป่วยเบาหวาน</b>จะมีภูมิต้านทานโรคที่ต่ำกว่าปกติทำให้มีโอกาสติดเชื้อต่างๆได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นการอักเสบบริเวณผิวหนัง สุขภาพช่องปาก เท้า ฯลฯ การดูแลสุขภาพร่างกายของผู้ป่วยเบาหวานจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันปัญหาจากการติดเชื้อต่างๆผู้ป่วยเบาหวานจึงควรดูแลสุขภาพดังนี้<div><b><br /></b></div><div><b>นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ</b>วันละ 7-8 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอหากเป็นไปได้ควรออกกำลังกายด้วยการเล่นกีฬาที่ตนเองชอบจะส่งผลดีทั้งทางร่างกายและทางจิตใจสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน พยายามหลีกเลี่ยงเรื่องต่างๆที่ทำให้เกิดความเครียดเพราะความเครียดจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นได้ ผู้ป่วยเบาหวานต้องควบคุมน้ำหนักตัวเองอยู่เสมออย่าปล่อยให้ตัวเองอ้วน ควรชั่งน้ำหนักตัวทุกวันให้น้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานหากปล่อยให้อ้วนจะทำให้การควบคุมโรคเบาหวานทำได้ยากขึ้น</div><div><b><br /></b></div><div><b>ผู้ป่วยเบาหวานต้องหลีกเลี่ยง</b>จากการดื่มเหล้า-สูบบุหรี่และต้องไปพบแพทย์ตามกำหนดนัดอย่างสม่ำเสมอแม้จะไม่มีอาการผิดปกติอะไรอย่างน้อยก็เพื่อตรวจสุขภาพและรับคำแนะนำที่ถูกต้องเพราะบางครั้งโรคแทรกซ้อนมักจะเกิดก่อนที่ผู้ป่วยจะรู้สึกตัวด้วยซ้ำไป นอกจากนี้ผู้ป่วยเบาหวานควรตรวจสุขภาพตากับจักษุแพทย์อย่างละเอียดปีละครั้ง หากมีอาการผิดปกติทางสายตาเช่น ตาเกิดอาการพร่ามัวควรปรึกษาจักษุแพทย์โดยเร็ว</div><div><b><br /></b></div><div><b>การดูแลสุขภาพช่องปากและฟัน</b>ของผู้ป่วยเบาหวาน เพื่อป้องกันการติดเชื้อและอักเสบ ให้หมั่นรักษาความสะอาดของช่องปากและฟันอย่างทั่วถึงโดยแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง อาจใช้ไหมขัดฟันเพื่อทำความสะอาดเพิ่มเติมอีกทางหนึ่งแต่ต้องระวังอย่าให้ไหมขัดฟันทำให้เหงือกเป็นแผลและควรตรวจสุขภาพช่องปากและฟันทุก 6 เดือน</div><div><b><br /></b></div><div><b>การดูแลสุขภาพผิวหนัง</b>ในผู้ป่วยเบาหวาน ควรอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายอย่างทั่วถึงโดยเฉพาะจุดอับชื้นเช่น ขาหนีบ รักแร้ หลังอาบน้ำต้องเช็ดให้แห้งเพราะถ้าปล่อยให้อับชื้นอาจเกิดเชื้อราได้ง่าย หากผิวหนังแห้งควรทาครีมเพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว สวมใส่เสื้อผ้าที่สะอาดและใส่สบายตัวระบายอากาศได้ดี ผิวหนังเป็นด่านแรกในการป้องกันเชื้อโรคจึงต้องดูแลให้ดีหากมีแผลที่ผิวหนังหรือมีอาการอักเสบ ผื่นคัน ฝีพุพอง ให้รีบปรึกษาแพทย์ทันที</div>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-7307001233804734195.post-85075228014296979442010-02-16T18:08:00.000+07:002024-01-07T17:46:17.028+07:00ประเภทและระยะเวลาในการออกกำลังกายของผู้ป่วยเบาหวาน(Diabetes and Exercise)<b>ประเภทของการออกกำลังกาย</b>ของผู้ป่วยเบาหวานไม่ได้กำหนดตายตัวว่าผู้ป่วยเบาหวานจะต้องออกกำลังกายแบบใด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความชอบและความถนัดเป็นส่วนตัวของผู้ป่วยเบาหวาน แต่หลักสำคัญของการออกกำลังกายของผู้ป่วยเบาหวานคือ ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายประเภทที่ต้องออกแรงต้านมากๆเช่น การยกน้ำหนัก เพราะการออกกำลังกายที่ต้องออกแรงต้านมากๆอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนทางหลอดเลือดและหัวใจได้<div><b><br /></b></div><div><b>ประเภทของการออกกำลังกาย</b>ของผู้ป่วยเบาหวานที่ควรจะเป็นคือ การออกกำลังกายที่ทำให้กล้ามเนื้อส่วนต่างๆของร่างกายหลายๆส่วนได้เคลื่อนไหวและออกแรงพร้อมๆกันและต้องเป็นการออกกำลังกายที่ไม่ต้องใช้แรงต้านมาก ตัวอย่างการออกกำลังกายที่เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวานคือ การเดินเร็วๆ การวิ่งเหยาะๆ และการว่ายน้ำ ฯลฯ ระยะเวลาในการออกกำลังกายควรเป็นครั้งละ 20-45 นาที ให้ผู้ป่วยเบาหวานพยายามทำให้ได้สม่ำเสมอทุกวันหรืออย่างน้อยที่สุดสัปดาห์ละ 3 ครั้ง เพื่อให้เกิดประโยชน์กับผู้ป่วยเบาหวานมากที่สุด</div><div><b><br /></b></div><div><b>ช่วงเวลาการออกกำลังกาย</b>ของผู้ป่วยเบาหวาน ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยเบาหวานประเภทที่ 1 (พึ่งอินซูลิน) การออกกำลังกายในช่วงบ่ายตั้งแต่ 15.00-17.00 น. เพื่อเป็นการป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำขณะออกกำลังกายหรือหลังการออกกำลังกาย ผู้ป่วยเบาหวานควรกินอาหารว่างก่อนออกกำลังกายประมาณ 30-60 นาที เพราะช่วงนี้เป็นเวลาที่อินซูลินจะถูกดูดซึมได้เต็มที่และจะมีการออกฤทธิ์สูงสุด แต่หากผู้ป่วยเบาหวานต้องการออกกำลังกายในช่วงเวลาอื่นก็ให้ปฏิบัติในลักษณะเดียวกันเพื่อป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ</div><div><b><br /></b></div><div><b>ข้อควรระวัง</b>ในการออกกำลังกายของผู้ป่วยเบาหวานคือ ในระหว่างการออกกำลังกายหากผู้ป่วยเบาหวานเกิดอาการดังต่อไปนี้ให้หยุดออกกำลังกายและปรึกษาแพทย์ทันที อาการดังกล่าวคือ หน้ามืด ตาพร่ามัว หิว เหงื่อออกมาก ใจสั่น เหนื่อยมากผิดปกติ เป็นแผลที่เท้า เจ็บแน่นที่หน้าอก.</div><div><b><br /></b></div><div><b>การออกกำลังกายของผู้ป่วยเบาหวาน</b>เป็นสิ่งจำเป็นแต่ก็ต้องทำด้วยความระมัดระวังเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยเบาหวานมักจะเป็นผู้สูงอายุที่ไม่สามารถออกกำลังกายที่หักโหมได้และผู้ป่วยเบาหวานแต่ละคนอาจมีโรคแทรกซ้อนที่ไม่เหมือนกันจึงมีความพร้อมในการออกกำลังกายที่แตกต่างกัน ทางเลือกหนึ่งที่เหมาะสมกับผู้ป่วยเบาหวานที่สูงอายุคือ การทำกายบริหารซึ่งจะช่วยบริหารกล้ามเนื้อและยืดหยุ่นข้อต่อต่างๆ ซึ่งล้วนเป็นผลดีต่อสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวานและดีกว่าการไม่ออกกำลังกายเลย แต่หากผู้ป่วยเบาหวานสามารถออกกำลังกายโดยเล่นกีฬาที่ชอบได้ย่อมส่งผลดีทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตของผู้ป่วยเบาหวานเอง.</div>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-7307001233804734195.post-19980128010710613452010-02-15T18:41:00.000+07:002024-01-07T17:44:44.424+07:00วิธีปฏิบัติตัวของผู้ป่วยเบาหวานที่ต้องเดินทาง (Traveling with Diabetes)<b>ในชีวิตประจำวันของผู้ป่วยเบาหวาน</b>บางโอกาสก็มีความจำเป็นต้องเดินทาง อาจเป็นการเดินทางเพื่อพักผ่อนหรือเดินทางไปทำธุระการงาน ไม่ว่าจะอย่างไรผู้ป่วยเบาหวานก็ต้องเคร่งครัดในเรื่องของการควบคุมอาหาร การออกกำลังกายและการฉีดยาหรือกินยาควบคุมเบาหวานอยู่เสมอ โรคเบาหวานเป็นเสมือนเพื่อนที่คอยติดตามตัวผู้ป่วยเบาหวานไปอย่างใกล้ชิด หากผู้ป่วยเบาหวานละเลยต่อการดูแลตนเองโดยเฉพาะเรื่องการควบคุมอาหารก็อาจเกิดอันตรายได้ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ควรกังวลกับการควบคุมเบาหวานมากเกินไป ให้พยายามปฏิบัติตัวให้ใกล้เคียงกับเวลาที่อยู่บ้านให้มากทีสุดและทำให้ได้อย่างสม่ำเสมอก็จะสามารถควบคุมเบาหวานและมีความสุขกับการเดินทางได้เช่นกัน<div><b><br /></b></div><div><b>การเดินทางโดยทางรถยนต์</b> ผู้ป่วยเบาหวานควรจะพกพาอาหารที่สามารถนำออกมาใช้ได้ง่ายในยามฉุกเฉินเช่น รถยางแตกหรือร้านอาหารอยู่ไกลทำให้ต้องเลื่อนเวลาอาหารออกไป ผู้ป่วยเบาหวานต้องกินอาหารตรงเวลาเสมอหากเกิดปัญหาเฉพาะหน้าขึ้นในการเดินทางเช่น หาร้านอาหารไม่ได้ก็ให้รองท้องด้วยอาหารที่เตรียมไปก่อนอย่าปล่อยให้หิวจัดโดยเด็ดขาด</div><div><b><br /></b></div><div><b>อาหารที่ควรพกพาไป</b>พร้อมกับการเดินทางเช่น นมจืดพร่องมันเนย(กล่อง) น้ำผลไม้ธรรมชาติ ผลไม้แห้งธรรมชาติ(ลูกเกด) ขนมปังกรอบ ส้ม กล้วย แอ๊ปเปิ้ล ชมพู่ ฯลฯ การใช้อาหารพกพาให้กินนมจืดหนึ่งกล่องจะช่วยบรรเทาความหิวได้ประมาณ 1-2 ชั่วโมงหรือกินลูกเกด 2 ช้อนโต๊ะกับน้ำเปล่าหรือเครื่องดื่มไดเอท อาจยึดหลักง่ายๆว่า ทุกๆชั่วโมงที่เลื่อนเวลาอาหารออกไปให้กินอาหารจำพวกแป้ง/ข้าว 1 ส่วนหรือผลไม้ 1 ส่วนเช่นขนมปังกรอบจืด 3 แผ่นหรือแอ๊ปเปิ้ล 1 ผล เป็นต้น</div><div><b><br /></b></div><div><b>การเลือกร้านอาหารในระหว่างเดินทาง</b>สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ควรเลือกร้านที่สามารถทำอาหารตามสั่งได้ จะทำให้สามารถควบคุมอาหารได้ง่ายกว่าการกินอาหารสำเร็จรูป หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่กึ่งสุกกึ่งดิบเพราะหากผู้ป่วยเบาหวานเกิดอาการท้องเสียขึ้นมาจะทำให้การควบคุมเบาหวานยุ่งยากยิ่งขึ้น</div><div><b><br /></b></div><div><b>หากผู้ป่วยเบาหวาน</b>จำเป็นต้องใช้อินซูลินในระหว่างเดินทาง ไม่ควรเก็บอินซูลินไว้ในกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่มักจะไม่สะดวกในการนำอินซูลินออกมาใช้ ควรเก็บไว้ในกระเป๋าถือที่สามารถหิ้วติดตัวได้ตลอดเวลาเพื่อความสะดวกในการหยิบออกมาใช้และให้ระมัดระวังเรื่องอุณหภูมิในการเก็บอินซูลินด้วยเพื่อป้องกันอินซูลินเสื่อมคุณภาพ นอกจากนี้ควรเตรียมอินซูลินเผื่อไว้ให้มากกว่าปกติไว้ก่อนในกรณีที่อาจต้องเพิ่มจำนวนวันเดินทางที่เป็นเหตุสุดวิสัย.</div>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-7307001233804734195.post-40688314823098513752010-02-12T17:49:00.001+07:002024-01-07T17:43:07.223+07:00สาเหตุและปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดแผลที่เท้าในผู้ป่วยเบาหวาน (Diabetic Foot Ulcer)<b>ผู้ป่วยเบาหวานมักมีอาการแทรกซ้อน</b>หลายอย่าง โอกาสเกิดแผลที่เท้าและถูกตัดขาของผู้ป่วยเบาหวานมีมากกว่าคนปกติหลายเท่าตัว สาเหตุที่ทำให้เกิดแผลที่เท้าของผู้ป่วยเบาหวานมีหลายสาเหตุที่มักเป็นปัจจัยส่งเสริมซึ่งกันและกัน เริ่มจากสาเหตุเล็กๆหรืออุบัติเหตุเพียงเล็กน้อยซึ่งในความเป็นจริงแล้วเป็นสิ่งที่สามารถป้องกันได้เช่น การใส่รองเท้าคับเกินไปหรือการตัดเล็บเท้าลึกเกินไปทำให้เกิดแผลเล็กๆขึ้น หากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับคนปกติก็ไม่เกิดปัญหาอะไรแต่สำหรับผู้ป่วยเบาหวานแล้วแผลที่เกิดขึ้นจะหายได้ช้าและมีโอกาสติดเชื้อลุกลามจนเป็นอันตรายได้<div><b><br /></b></div><div><b>ประสาทความรู้สึกเสื่อม</b> ทำให้ร่างกายไม่สามารถรับรู้ถึงความเจ็บปวด ร้อน-เย็นได้ เมื่อเท้าเกิดเป็นบาดแผลผู้ป่วยเบาหวานมักไม่ให้ความสนใจและไม่หยุดใช้เท้าอาจเป็นเพราะไม่รู้สึกเจ็บปวด แผลที่เกิดขึ้นจึงอักเสบและลุกลามมากขึ้น ผู้ป่วยเบาหวานอาจเดินไปเหยียบของมีคมและถูกบาดโดยขาดความระมัดระวัง การที่แผลที่เท้าในผู้ป่วยเบาหวานเกิดอาการชาจะเริ่มจากเชื้อราที่เท้า (ฮ่องกงฟุต) โรคเท้าเปื่อยและผู้ป่วยเบาหวานจะไม่มีความรู้สึกเจ็บหรือคันเนื่องจากประสาทรับความรู้สึกเสื่อม กว่าจะรู้ตัวอาการก็ลุกลามอักเสบรุนแรงทั้งอุ้งเท้าเสียแล้ว แต่หากผู้ป่วยรู้จักระวังดูแลสุขภาพและได้รับการรักษาที่ถูกต้องแผลก็จะหายเป็นปกติได้</div><div><b><br /></b></div><div><b>ประสาทควบคุมกล้ามเนื้อเสื่อม</b> เมื่อประสาทชนิดนี้เสื่อมสมรรถภาพก็จะทำให้กล้ามเนื้อที่เท้าค่อยๆลีบลงหรือกล้ามเนื้อที่เท้าไม่อยู่ในจุดสมดุล เท้าผิดรูป ปลายนิ้วเท้าจิกลงทำให้จุดรับน้ำหนักผิดไปและมีโอกาสที่จะเกิดเป็นตาปลาหรือเกิดเป็นแผลได้ง่ายขึ้น</div><div><b><br /></b></div><div><b>ประสาทอัตโนมัติที่เกิดการเสื่อม</b>จะเกี่ยวข้องกับการควบคุมการหลั่งของเหงื่อ การขยายตัวและหดตัวของหลอดเลือดมีปัญหาทำให้ผิวหนังแห้ง เหงื่อออกน้อยและผิวแตกได้ง่าย โดยเฉพาะจุดที่มีการพับงอบ่อยๆ เชื้อโรคอาจเข้าไปตามรอยแตกแล้วกลายเป็นแผลลุกลาม การเสื่อมของระบบประสาทอัตโนมัติอาจทำให้เท้าบวมจนคับรองเท้าและกลายเป็นแผลกดทับได้</div><div><b><br /></b></div><div><b>ความผิดปกติของหลอดเลือด</b> บางครั้งเส้นเลือดก็ตีบแข็งบางครั้งก็อุดตันซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ทั้งหลอดเลือดแดงใหญ่และหลอดเลือดฝอยจนทำให้เกิดแผลที่เท้าเนื่องจากขาดเลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อซึ่งจะพบมากที่ปลายนิ้วเท้าทั้งห้าหรือส้นเท้า การรักษาก็ทำได้ยากเนื่องจากไม่มีเส้นเลือดไปหล่อเลี้ยงเนื้อเยื่อทำให้ไม่เกิดการสมานแผลที่เน่า การตีบตันของหลอดเลือดในผู้ป่วยเบาหวานยังอาจเกิดขึ้นได้กับหลอดเลือดตามส่วนต่างๆของร่างกายเช่น หลอดเลือดหัวใจ สมองและปัจจัยที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการตีบตันเร็วขึ้นคือ ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง การสูบบุหรี่ ฯลฯ หากเกิดการตีบตันของเส้นเลือดต้องทำการฉีดสีดูว่าจะหาทางแก้ไขทำให้เลือดเดินดีขึ้นได้อย่างไร</div><div><b><br /></b></div><div><b>การติดเชื้อแทรกซ้อน</b> เท้าของผู้ป่วยเบาหวานที่เป็นแผลมักมีการติดเชื้อร่วมด้วยเสมอ โดยเฉพาะการแทรกซ้อนของเชื้อแบคทีเรียทำให้แผลอักเสบจนเส้นเลือดฝอยอุดตันทำให้เนื้อเยื่อที่ขาดเลือดส่งกลิ่นเหม็นเน่าและหากมีภาวะแทรกซ้อนทางหลอดเลือดและทางเส้นประสาทร่วมด้วยแล้ว โอกาสที่ผู้ป่วยเบาหวานจะได้รับการรักษาให้หายจะยากยิ่งขึ้นซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยเบาหวานต้องถึงกับสูญเสียขา.</div>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-7307001233804734195.post-14456224721926892482010-02-09T21:33:00.000+07:002024-01-07T17:41:13.830+07:00ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia) อาการผิดปกติในผู้ป่วยเบาหวาน<b>ผู้ป่วยเบาหวาน</b>อาจมีอาการผิดปกติที่พบได้บ่อยคือ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ(Hypoglycemia) ซึ่งเป็นภาวะที่ผู้ป่วยเบาหวานอาจละเลยไม่ได้ดูแลตนเองหรือปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำจะมีอาการได้หลายลักษณะเริ่มตั้งแต่อาการที่มีความรุนแรงน้อยจนถึงขั้นหมดสติเช่น มีเหงื่อออกมาก ตัวเย็น ปวด-มึนศีรษะ ชาตามปลายนิ้วมือนิ้วเท้าหรือรอบปาก หงุดหงิดขึ้นมาอย่างทันทีทันใด ตาพร่ามองเห็นเป็นภาพซ้อน หัวใจเต้นเร็วและแรง วิงเวียน หน้าซีด ชัก หมดสติ.<div><b><br /></b></div><div><b>ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ</b>เกิดจากสาเหตุสำคัญคือ ผู้ป่วยเบาหวานดูแลตนเองไม่ดีพอ ส่วนมากจะเกิดจาก การฉีดอินซูลินหรือกินยาลดระดับน้ำตาลมากไปหรือกินอาหารไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายคือ กินน้อยไป กินผิดเวลาหรือทิ้งช่วงเวลาระหว่างมื้อนานเกินไป การที่ผู้ป่วยเบาหวานทำงานหรือออกกำลังกายมากเกินไปก็อาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้เช่นกัน</div><div><b><br /></b></div><div><b>การรักษาดูแลอาการ</b>ที่เกิดจากภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ หากอาการที่เกิดกับผู้ป่วยเบาหวานไม่รุนแรงจนถึงขั้นหมดสติก็สามารถแก้ไขได้โดยการให้ผู้ป่วยกินน้ำตาลเข้าไปก็จะทำให้อาการดีขึ้นได้ ดังนั้นหากมีอาการของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำตามที่กล่าวมาแล้ว อย่ามัวแต่รอดูอาการโดยคิดว่าเดี๋ยวก็หายเองได้ ให้รีบหาทางแก้ไขโดยทำตามคำแนะนำต่อไปนี้</div><div><b><br /></b></div><div><b>ให้พยายามหาสาเหตุ</b>ว่าการที่ผู้ป่วยเบาหวานเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำนั้นมีสาเหตุจากอะไรเช่น หากรู้ว่าเป็นเพราะผิดเวลาอาหารก็ให้รีบกินอาหารทันทีหรืออย่างน้อยที่สุดต้องกินอาหารว่างรองท้องไปก่อนอาการก็จะดีขึ้น หากอาการค่อนข้างรุนแรงแต่ยังไม่ถึงขั้นหมดสติ ให้ผู้ป่วยเบาหวานกินอะไรก็ได้ที่สามารถถูกดูดซึมและเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดได้โดยเร็วเช่น นมรสหวาน ลูกกวาดหรือน้ำหวาน ฯลฯ แล้วให้ผู้ป่วยพักผ่อนรอดูอาการสักครู่หนึ่ง หากเวลาผ่านไปสัก 10-15 นาทีแล้วอาการยังไม่ดีขึ้นให้แก้ไขโดยการกินอาหารเพิ่มอีก</div><div><b><br /></b></div><div><b>สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน</b>ที่ชอบออกกำลังกายควรหาทางป้องกันไม่ให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำในช่วงที่กำลังออกกำลังกายและหลังออกกำลังกายโดยการกินอาหารว่างจำพวกแซนด์วิช แครกเกอร์ ฯลฯ ก่อนการออกกำลังกายก็จะช่วยป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยเบาหวานเกิดอาการภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้.</div>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-7307001233804734195.post-32028683495722675352010-02-08T23:54:00.000+07:002024-01-07T17:36:01.045+07:00หมวดอาหารแลกเปลี่ยน (Food Exchange List) ช่วยควบคุมอาหารเพื่อควบคุมเบาหวาน<b>การควบคุมอาหารเป็นปัจจัยสำคัญ</b>ที่ทำให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมเบาหวานได้ การควบคุมอาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวานจำเป็นต้องเรียนรู้เกี่ยวกับหมวดอาหารแลกเปลี่ยนเพื่อช่วยให้การควบคุมเบาหวานได้ผล หมวดอาหารแลกเปลี่ยนจะประกอบด้วยอาหารประเภทเดียวกันและมีคุณค่าทางโภชนาการที่ใกล้เคียงกันสามารถแลกเปลี่ยนทดแทนกันได้ภายในหมวดเดียวกัน<div><br /></div><div><b>หมวดอาหารแลกเปลี่ยนแบ่งออกเป็น 6 หมวดคือ</b></div><div><b><br /></b></div><div><b>1. หมวดแป้ง/ข้าว </b>อาหารในหมวดนี้ 1 ส่วนจะมีคาร์โบไฮเดรต 15 กรัม โปรตีน 3 กรัมกับไขมันอีกเล็กน้อย อาหารในหมวดแป้ง/ข้าวนี้ 1 ส่วนจะให้พลังงาน 80 กิโลแคลอรี ตัวอย่างเช่น ข้าวสวย/ข้าวเหนียว 1 ทัพพี(เล็ก) สามารถแลกเปลี่ยนกับ ก๋วยเตี๋ยว/เส้นหมี่/วุ้นเส้น/บะหมี่ อย่างใดอย่างหนึ่งในปริมาณ 1 ทัพพี</div><div><b><br /></b></div><div><b>2. หมวดเนื้อสัตว์</b>(โปรตีน) อาหารในหมวดนี้ 1 ส่วน (2 ช้อนโต๊ะ)จะให้โปรตีน 7 กรัม ส่วนพลังงานที่ได้จะขึ้นอยู่กับปริมาณไขมันที่มีอยู่ในเนื้อสัตว์ ตัวอย่างเช่น อาหารที่เนื้อล้วนไม่ติดมัน (ปลาต่างๆ) 30 กรัม สามารถแลกเปลี่ยนกับเนื้อปู 4 ช้อนโต๊ะ(60 กรัม) หรือหอยแครง 10 ตัวหรือลูกชิ้นหมู 6 ลูก</div><div><b><br /></b></div><div><b>3. หมวดผัก </b>จะมีปริมาณคาร์โบไฮเดรตน้อยและให้พลังงานน้อย ผัก 1 ส่วน ให้คาร์โบไฮเดรต 5 กรัม โปรตีน 2 กรัม พลังงาน 25 กิโลแคลอรีและเส้นใยอาหาร 2-3 กรัม หากผู้ป่วยเบาหวานกินผักโดยไม่ใช้น้ำมันในการปรุงอาหารก็สามารถกินได้โดยไม่จำกัดปริมาณ ตัวอย่าง ผัก 1 ส่วนเท่ากับผักสุกครึ่งถ้วยตวงหรือผักสด 1 ถ้วยตวง</div><div><b><br /></b></div><div><b>4. หมวดผลไม้</b> ผลไม้ 1 ส่วนจะให้คาร์โบไฮเดรต 15 กรัม พลังงาน 60 กิโลแคลอรี เส้นใยอาหารมากกว่า 2 กรัม ตัวอย่างเช่นผลไม้ 1 ส่วนจะเท่ากับมะละกอสุก 8 คำ หรือสับปะรด 1 วง(หนาครึ่งนิ้ว) หรือส้มโอ 3 กลีบเล็กหรือกล้วยหอม (9 นิ้ว) ครึ่งผล ผู้ป่วยเบาหวานควรหลีกเลี่ยงผลไม้เชื่อม ผลไม้บรรจุกระป๋องและผลไม้กวน</div><div><b><br /></b></div><div><b>5. หมวดนม</b> นม 1 ส่วนจะให้คาร์โบไฮเดรต 12 กรัม โปรตีน 8 กรัม สำหรับจำนวนพลังงานจะมากน้อยขึ้นอยู่กับจำนวนไขมันเนยที่อยู่ในนม ตัวอย่างเช่น นมจืดไขมันเต็ม 1 ส่วน(240 มิลลิลิตร) จะเท่ากับนมจืดพร่องไขมัน 1 ส่วน(240 มิลลิลิตร) ผู้ป่วยเบาหวานควรหลีกเลี่ยงนมที่มีรสหวานทุกชนิด</div><div><b><br /></b></div><div><b>6. หมวดไขมัน</b> อาหารในหมวดนี้ 1 ส่วนเท่ากับน้ำมัน 1 ช้อนชา ให้ไขมัน 5 กรัมและพลังงาน 45 กิโลแคลอรี ตัวอย่างเช่น เนยเทียม 1 ช้อนชาจะเท่ากับ มายองเนส 1 ช้อนชาหรือน้ำสลัด 1 ช้อนโต๊ะหรือน้ำมันพืช 1 ช้อนชา ผู้ป่วยเบาหวานควรเลือกกินไขมันชนิดไม่อิ่มตัวแทนไขมันชนิดที่อิ่มตัว</div><div><b><br /></b></div><div><b>ปริมาณอาหารในแต่ละวัน</b>ที่ผู้ป่วยเบาหวานควรควบคุมในแต่ละหมวดอาหารแลกเปลี่ยนคือ หมวดข้าว/แป้ง ต้องวันละ 6-11 ส่วน หมวดโปรตีน มื้อละ 2-3 ส่วนวันละ 2-3 มื้อ หมวดผักวันละ 3-5 ส่วน หมวดผลไม้วันละ 2-4 ส่วน หมวดนมและผลิตภัณฑ์จากนม วันละ 2-3 ส่วน สำหรับหมวดไขมันหากหลีกเลี่ยงไม่กินเลยได้จะดีมาก ประโยชน์ของหมวดอาหารแลกเปลี่ยนจะทำให้ผู้ป่วยเบาหวานสามารถจัดรายการอาหารของตนเองได้ ทำให้สามารถเปลี่ยนแปลงรายการอาหารเพื่อลดความจำเจที่ต้องควบคุมอาหาร.</div>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-7307001233804734195.post-44933175301709297522010-02-07T21:21:00.004+07:002024-02-15T22:06:48.966+07:00การควบคุมอาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน(Diabetes Nutrition guide)<b>การควบคุมอาหาร</b>หรือการปรับพฤติกรรมในการกินอาหารเป็นหัวใจสำคัญของการควบคุมเบาหวานเลยก็ว่าได้ การจะควบคุมเบาหวานให้ได้ผลต้องอาศัยทั้งการใช้ยารักษาเบาหวานควบคู่<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhni2HHnLCwrkR-EVsrabaB6kLpM2FtVQHYO2WpqtZ1E15g8o0jhgIvorEp-6HNqu7-avM9MTloU2cVqz-ccvHX-KGkz4D-lQMFkjIkL59GvvTAwjaB-yeWV6Lmh-weZgqEw78HyaV08xgzLAcVvr0P5gQiI5xL0z-v0-Vmf9X31DR4lnjntqlE26Niv18N/s263/vegetarian_food2.png" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" data-original-height="200" data-original-width="263" height="200" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhni2HHnLCwrkR-EVsrabaB6kLpM2FtVQHYO2WpqtZ1E15g8o0jhgIvorEp-6HNqu7-avM9MTloU2cVqz-ccvHX-KGkz4D-lQMFkjIkL59GvvTAwjaB-yeWV6Lmh-weZgqEw78HyaV08xgzLAcVvr0P5gQiI5xL0z-v0-Vmf9X31DR4lnjntqlE26Niv18N/s1600/vegetarian_food2.png" width="263" /></a></div><br />กับการควบคุมอาหารจึงจะได้ผลดี การควบคุมอาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวานจึงเป็นการรู้จักเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบทุกหมู่ในปริมาณที่พอเหมาะกับความต้องการของร่างกายและร่างกายต้องได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วนอย่างมีความสมดุล<div><br /></div><div><b>สำหรับผู้ป่วยเบาหวานประเภทที่ 1</b>(ต้องพึ่งอินซูลิน) การควบคุมอาหารต้องยึดหลักของความสม่ำเสมอเป็นสำคัญเนื่องจากแพทย์จะคำนวณปริมาณอินซูลินที่จะฉีดให้ผู้ป่วยเบาหวานให้พอดีกับอาหารที่ผู้ป่วยจะกินและมีความสมดุลกับการทำกิจกรรมประจำวันด้วย ดังนั้นการควบคุมอาหารของผู้ป่วยเบาหวานประเภทที่ 1 (Type 1 Diabetes) จะต้องกินอาหารให้ตรงเวลาในแต่ละวันและชนิดของอาหารรวมทั้งปริมาณของอาหารควรจะคล้ายๆกัน อินซูลินและอาหารที่กินเข้าไปจะทำงานควบคู่กันไปเพื่อปรับระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ถ้าการกินอาหารและอินซูลินไม่สมดุลกันจะส่งผลกระทบทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหรือสูงกว่าปกติได้ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อผู้ป่วยเบาหวานอย่างแน่นอน</div><div><br /></div><div><b>สำหรับผู้ป่วยเบาหวานประเภทที่ 2 </b>(ไม่พึ่งอินซูลิน) ผู้ป่วยมักจะมีน้ำหนักเกินหรืออ้วน การควบคุมอาหารจึงทำได้โดยการกินอาหารให้น้อยลงโดยเฉพาะอาหารจำพวกไขมัน กินอาหารให้ถูกหลักโภชนาการควบคู่ไปกับการออกกำลังกายเป็นประจำก็จะช่วยให้สามารถควบคุมเบาหวานได้ดี</div><div><br /></div><div><b>เวลาในการกินอาหารของผู้ป่วยเบาหวาน</b> ควรกินอาหารหลังจากกินยาหรือฉีดอินซูลินแล้วประมาณ 30 นาทีให้สม่ำเสมอและตรงเวลา พยายามกินอาหารให้ตรงเวลาอย่างดอาหารมื้อหนึ่งแล้วไปกินเพิ่มในมื้อถัดไป ผู้ป่วยเบาหวานบางรายอาจมีการแบ่งการกินอาหารเป็นมื้อเล็กๆและมีอาหารว่างระหว่างมื้อแทนการกินอาหารมื้อใหญ่ 3 มื้อก็ได้ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความจำเป็นและความเห็นของแพทย์ แต่โดยรวมแล้วจำนวนแคลอรีที่ผู้ป่วยเบาหวานได้รับในแต่ละวันยังคงเท่าเดิม</div><div><b><br /></b></div><div><b>ปริมาณในการกินอาหารของผู้ป่วยเบาหวาน </b>แพทย์หรือนักโภชนาการจะคำนวณปริมาณอาหารของผู้ป่วยในแต่ละวันให้ออกมาเป็นจำนวนแคลอรีซึ่งจะนำมาจัดเป็นสัดส่วนของอาหารหมวดต่างๆในแต่ละมื้อ ทั้งนี้การคำนวณปริมาณอาหารที่จะกินในแต่ละมื้อยังต้องคำนึงถึงความแตกต่างของผู้ป่วยแต่ละคนเช่น อายุ น้ำหนักตัว เพศและกิจกรรมประจำวัน ที่ต้องนำมาร่วมพิจารณาในการกำหนดปริมาณ<a href="http://zoneplus.net/blog/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%99-diabetes-foods-%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%9A%E0%B8%84/">อาหารของผู้ป่วยเบาหวาน</a>ในแต่ละมื้อ</div><div><br /></div><div><b>ผู้ป่วยเบาหวาน</b>ต้องกินอาหารตามสัดส่วนที่แพทย์หรือนักโภชนาการกำหนดให้ทั้งในเรื่องชนิดและปริมาณอาหารที่ใช้ในการควบคุมเบาหวาน ผู้ป่วยเบาหวานควรเรียนรู้เรื่อง<a href="http://xn---diabetes-uo2ak0n1b1fc3t.blogspot.com/2010/02/food-exchange-list.html">หมวดอาหารแลกเปลี่ยน</a>เพื่อนำความรู้ไปใช้จัดรายการอาหารของตนเองเพื่อลดความเบื่อหน่ายหรือความจำเจในการกินอาหารควบคุมเบาหวานเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ป่วยเบาหวาน.</div>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-7307001233804734195.post-50958944118738515092010-02-04T18:39:00.001+07:002024-01-07T17:31:21.963+07:00อินซูลิน (Insulin Preparations) ยาลดระดับน้ำตาลในเลือด<b>ปัจจุบันยาที่ใช้ลดระดับน้ำตาลในเลือด</b>มีอยู่ 2 ประเภทด้วยกันคือ 1.ยาฉีดอินซูลิน (Insulin Preparations) 2. ยากิน (Oral Hypoglycemic Agents) ยาฉีดอินซูลินใช้ในผู้ป่วยเบาหวานประเภทที่ 1 และเบาหวานประเภทที่ 2 ที่ไม่สามารถควบคุมเบาหวานได้โดยการกินยา การควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย อินซูลินจะได้มาจาก 2 แหล่งคือ การสกัดจากตับอ่อนของหมูและวัว อีกแหล่งคือการสังเคราะห์จากวิธีทางพันธุวิศวกรรม (Genetic Engineering) โดยทั่วไปใน 1 มิลลิลิตร(ซีซี)ของยาจะมีอินซูลิน 100 ยูนิต ซึ่งเรียกว่า ยู 100 อินซูลิน ( U 100 Insulin)<div><b><br /></b></div><div><b>อินซูลิน</b>สามารถจำแนกตามการออกฤทธิ์ของอินซูลินได้เป็น 4 ชนิดคือ</div><div><b><br /></b></div><div><b>1. อินซูลินชนิดออกฤทธิ์เร็วมาก</b> (Rapid-acting Insulin) อินซูลินชนิดนี้ถูกเรียกว่า อินซูลินชนิดน้ำใส (ตามลักษณะทางกายภาพของยา) ใช้ฉีดในเวลาที่ต้องการลดระดับน้ำตาลในเลือดหลังมื้ออาหาร เมื่อฉีดอินซูลินเข้าใต้ผิวหนังจะออกฤทธิ์เร็วภายใน 10-15 นาทีและมีฤทธิ์อยู่นาน 3-5 ชั่วโมง</div><div><b><br /></b></div><div><b>2. อินซูลินชนิดออกฤทธิ์เร็วและสั้น</b> (Short-acting Insulin) ใช้ฉีดก่อนอาหารครึ่งชั่วโมงเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลหลังอาหารหรือใช้ฉีดเมื่อมีภาวะกรดคั่งในเลือดจากสารคีโทน เมื่อฉีดอินซูลินชนิดนี้เข้าใต้ผิวหนังจะออกฤทธิ์ในเวลา 30-60 นาทีและมีฤทธิ์อยู่นาน 5-7 ชั่วโมง</div><div><b><br /></b></div><div><b>3. อินซูลินชนิดออกฤทธิ์ปานกลาง </b>(Intermediate-acting Insulin) อินซูลินชนิดนี้จะมีลักษณะเป็นน้ำสีขาวขุ่นจึงมักเรียกกันว่า อินซูลินชนิดน้ำขุ่น โดยทั่วไปจะใช้เป็นอินซูลินตัวหลักในการรักษาโรคเบาหวานโดยฉีดเข้าใต้ผิวหนังวันละ 1-2 ครั้ง หลังฉีดอินซูลินแล้วจะออกฤทธิ์ในเวลา 2-4 ชั่วโมงและมีฤทธิ์อยู่นาน 18-24 ชั่วโมง</div><div><b><br /></b></div><div><b>4. อินซูลินชนิดออกฤทธิ์ยาว </b>(Long-acting Insulin) มีลักษณะเป็นน้ำใสใช้เพื่อปรับระดับอินซูลินในเลือดให้สูงขึ้นในปริมาณหนึ่งตลอดวันและป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เมื่อฉีดอินซูลินชนิดออกฤทธิ์ยาวเข้าใต้ผิวหนังอินซูลินจะเริ่มออกฤทธิ์ภายใน 2 ชั่วโมงและมีฤทธิ์นาน 24 ชั่วโมง<br /><br /><b>อินซูลิน</b>ที่มีขายอยู่ในปัจจุบันจะมีราคาแตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความบริสุทธิ์ของอินซูลิน อินซูลินที่บริสุทธิ์ไม่มีสารปนเปื้อนจะมีราคาแพงและคุณภาพดีกว่าโดยผู้ใช้จะเกิดอาการแพ้และแอนตี้บอดี้ (Antibody) ได้น้อยกว่าซึ่งหากเกิดแอนตี้บอดี้จะเป็นสาเหตุให้ต้องเพิ่มขนาดอินซูลินมากขึ้นเมื่อใช้ไประยะหนึ่ง.</div>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-7307001233804734195.post-28658248410217924042010-02-03T18:49:00.001+07:002024-01-07T17:29:03.936+07:00เบาหวานในระยะตั้งครรภ์ (Gestational Diabetes Mellitus)<b>คนส่วนมากมักเข้าใจว่า ผู้ป่วยเบาหวาน</b>ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ ความจริงแล้วโรคเบาหวานไม่ได้มีส่วนทำให้การเจริญพันธุ์ลดลงแต่ประการใด ดังนั้นผู้ป่วยเบาหวานจึงสามารถตั้งครรภ์ได้ตามปกติเพียงแต่ผลกระทบจากการเป็นโรคเบาหวานอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนแก่มารดาและทารกในครรภ์<div><br /></div><div><b>เบาหวานกับการตั้งครรภ์</b>แบ่งได้ 2 กลุ่มคือ 1.ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานอยู่ก่อนแล้วจึงตั้งครรภ์ในภายหลัง 2.หญิงที่กำลังตั้งครรภ์แล้วตรวจพบว่าเป็นเบาหวาน สำหรับผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานอยู่ก่อนแล้วตั้งครรภ์ทีหลังวิธีการดูแลรักษาทำได้โดยการควบคุมอาหารควบคู่กับการออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน หากปฏิบัติแล้วยังไม่สามารถควบคุมเบาหวานให้อยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจได้ก็ต้องใช้ยาลดระดับน้ำตาลโดยการฉีดอินซูลินเท่านั้น ไม่สามารถใช้ยากินสำหรับลดระดับน้ำตาลในเลือดได้เพราะการกินยาลดระดับน้ำตาลในเลือดจะส่งผลกระทบกับเด็กทารกในท้องได้ หากผู้ป่วยเบาหวานต้องการตั้งครรภ์ควรปรึกษาแพทย์และวางแผนล่วงหน้าเพื่อหาทางควบคุมเบาหวานให้ดีเพื่อไม่เกิดอันตรายต่อมารดาและทารกในครรภ์</div><div><br /></div><div><b>สำหรับหญิงมีครรภ์</b>ที่ตรวจพบเบาหวานในระหว่างตั้งครรภ์ โรคเบาหวานอาจมีสาเหตุมาจากการตั้งครรภ์ก็ได้ ดังนั้นเพื่อให้การตั้งครรภ์เป็นไปอย่างราบรื่นควรมีการตรวจคัดกรองโรคเบาหวานในหญิงมีครรภ์ทุกรายโดยการตรวจคัดกรองจะทำเมื่ออายุครรภ์ประมาณ 24-28 สัปดาห์ ทำได้โดยให้หญิงมีครรภ์ดื่มน้ำตาลกลูโคส 50 กรัมที่ละลายในน้ำ 1 แก้ว รอเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงจึงตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด หากมีค่าตั้งแต่ 140 มิลลิกรัม/เดซิลิตรขึ้นไปแสดงว่าหญิงมีครรภ์มีแนวโน้มที่จะเป็นเบาหวานและต้องทำการทดสอบอย่างละเอียดต่อไป</div><div><br /></div><div><b>เบาหวานในระหว่างตั้งครรภ์</b>จะมีผลกระทบต่อมารดาและทารกดังนี้คือ ผลกระทบต่อมารดาอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้เช่น ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงหรือต่ำเกินไป ภาวะหลอดเลือด ไต ตาและปลายประสาทเสื่อม ความดันโลหิตสูง ติดเชื้อได้ง่ายโดยเฉพาะในระบบทางเดินปัสสาวะและภาวะกรดคั่งในเลือดจากสารคีโทน ส่วนผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับทารกคือ เด็กจะโตกว่าปกติทำให้คลอดยากและอาจเกิดอันตรายระหว่างคลอด คลอดก่อนกำหนด แท้งหรือทารกตายในครรภ์ ทารกตัวเหลือง พิการแต่กำเนิด หัวใจล้มเหลว ซึ่งล้วนแต่เป็นอันตรายต่อทารกเป็นอย่างมาก</div><div><br /></div><div><b>ภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวาน</b>ในขณะตั้งครรภ์ที่กล่าวมาข้างต้นนั้นสามารถควบคุมหรือลดเปอร์เซ็นต์การเกิดให้น้อยลงได้หากหญิงมีครรภ์ได้รับการดูแลรักษาอย่างใกล้ชิดและถูกวิธี สิ่งสำคัญคือพยายามรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้ใกล้เคียงกับระดับของคนปกติให้มากที่สุดทั้งก่อนและขณะตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตามมีผู้ป่วยเบาหวานจำนวนไม่น้อยที่แพทย์ไม่แนะนำให้ตั้งครรภ์หากอยู่ในภาวะต่อไปนี้คือ หัวใจขาดเลือด เบาหวานขึ้นตารุนแรงและยังไม่ได้รักษา มีภาวะไตเสื่อม มีอาการคลื่นไส้ ท้องเสีย อาเจียนอย่างรุนแรง ความดันโลหิตสูงกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอททั้งๆที่อยู่ในระหว่างการรักษาเบาหวาน.</div>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-7307001233804734195.post-9720312133783834912010-02-01T22:38:00.001+07:002024-01-07T17:27:12.984+07:00เบาหวานประเภทที่ 1 (Type 1 Diabetes) ชนิดที่ต้องพึ่งอินซูลิน<b>เบาหวานประเภทที่ 1</b> หรือเบาหวานชนิดที่ต้องพึ่งอินซูลิน มีสาเหตุมาจากการที่ร่างกายขาดฮอร์โมนอินซูลินโดยสิ้นเชิงเนื่องจากตับอ่อนไม่สามารถผลิตอินซูลินได้ ทำให้ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลผ่านเข้าไปในเนื้อเยื่อต่างๆ เพื่อเผาผลาญให้เกิดเป็นพลังงานได้ ระดับน้ำตาลในเลือดจึงสูงขึ้นเรื่อยๆ<div><br /></div><div><b>ร่างกายของผู้ป่วยเบาหวานประเภทที่ 1</b> จึงต้องหาพลังงานทดแทนจากการสลายโปรตีนและไขมันในร่างกายซึ่งกระบวนการดังกล่าวจะทำให้เกิดสารคีโทนที่มีคุณสมบัติเป็นกรดและเป็นพิษต่อร่างกาย เมื่อเกิดสารคีโทนในเลือดมากขึ้นก็จะเกิดภาวะกรดคั่งในเลือดจากสารคีโทน มีอาการหายใจหอบลึก คลื่นไส้ อาเจียน ผิวหนังแห้ง ชีพจรเต้นเร็ว ปวดท้องและระดับความรู้สึกตัวจะค่อยๆลดลง</div><div><br /></div><div><b>ภาวะกรดคั่งในเลือดจากสารคีโทน </b>จะเกิดอาการอย่างรุนแรงและฉับพลัน การขาดอินซูลินทำให้การสลายไขมันเป็นไปอย่างรวดเร็วทำให้เกิดสารคีโทนขึ้นในเลือดมาก ถ้าผู้ป่วยเบาหวานประเภทที่ 1 ไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องก็จะถึงขั้นหมดสติ อาการที่เกิดขึ้นหากรู้เท่าไม่ถึงการณ์อาจทำให้ผู้ป่วยถึงกับเสียชีวิตได้ เบาหวานประเภทที่ 1 มักจะเกิดกับคนที่มีอายุน้อยกว่า 40 ปีและผู้ป่วยเบาหวานจะมีรูปร่างที่ผอม</div><div><br /></div><div><b>การดูแลผู้ป่วยเบาหวานประเภทที่ 1</b> เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะกรดคั่งในเลือดจากสารคีโทน ผู้ป่วยเบาหวานต้องฉีดอินซูลินทุกวันและปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์ เมื่อเกิดการเจ็บป่วยขึ้นมาต้องปฏิบัติตามวิธีดูแลตัวเองเมื่อเจ็บป่วย (Sick day rules) อย่างเคร่งครัด.</div>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-7307001233804734195.post-31406536576508219932010-01-31T22:55:00.002+07:002024-01-07T17:25:13.403+07:00อาหารกับการควบคุมเบาหวาน (Nutrition and Diabetes)<b>เรื่องอาหารการกินหรือโภชนาการที่ดี</b> (Good Nutrition) เป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่จะช่วยควบคุมโรคเบาหวาน แม้ผู้ป่วยจะฉีดอินซูลินหรือกินยารักษาเบาหวานอยู่แล้วก็ตามการควบคุมอาหารก็เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำควบคู่กันไป การควบคุมอาหารต้องมีความรู้เกี่ยวกับปริมาณสารอาหารแต่ละชนิดที่มีอยู่ในอาหาร ผู้ป่วยเบาหวานต้องเลือกกินอาหารให้หลากหลาย(ครบทั้ง 5 หมู่) ในปริมาณที่พอเหมาะกับความต้องการของร่างกายเพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วนและได้สัดส่วนที่ถูกต้อง<div><br /></div><div><b>การควบคุมอาหารในผู้ป่วยเบาหวาน</b>ต้องมีการปรับพฤติกรรมการกินอาหารเนื่องจากผู้ป่วยส่วนมากจะมีพฤติกรรการกินอาหารแบบตามใจปากและไม่ได้ใส่ใจเรื่องคุณภาพของอาหารที่กินว่ามีสารอาหารที่มีประโยชน์หรือมีสารอาหารที่เกินความจำเป็น(ไขมัน,แป้ง,น้ำตาล) หรือไม่ การควบคุมอาหารควรทำแบบค่อยเป็นค่อยไปและค่อยๆปรับพฤติกรรมการกินของผู้ป่วยเบาหวาน ในความเป็นจริงแล้วอาหารของผู้ป่วยเบาหวานก็ไม่ได้แตกต่างไปจากอาหารของคนทั่วไปคือกินได้ทุกอย่างเหมือนคนทั่วไปเพียงแต่ต้องควบคุมในเรื่องปริมาณการกินให้อยู่ในความพอดีจึงจะเป็นประโยชน์ต่อการป้องกันและลดความรุนแรงของโรคแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นได้<br /><br /><b>การควบคุมอาหารในผู้ป่วยเบาหวาน</b>มีจุดมุ่งหมายที่สำคัญคือเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับปกติหรือใกล้เคียงกับระดับปกติให้มากที่สุด ซึ่งจะเป็นการป้องกันและชะลอการเกิดโรคแทรกซ้อนให้เกิดขึ้นช้าที่สุด การควบคุมอาหารในผู้ป่วยเบาหวานยังทำเพื่อควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่พอเหมาะ(ขึ้นอยู่กับเพศ อายุและกิจกรรมประจำวัน) หากผู้ป่วยเบาหวานไม่ควบคุมอาหารปล่อยให้น้ำหนักเกินมาตรฐาน (อ้วน) ความอ้วนจะมีผลทำให้ร่างกายดื้อต่อฮอร์โมนอินซูลิน การควบคุมอาหารไม่ให้อ้วนจะทำให้อินซูลินทำงานออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น(ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด)<br /><br />การคำนวณน้ำหนักมาตรฐานอย่างง่ายๆ เพื่อประโยชน์ในการควบคุมน้ำหนักคือ<br /><br />สำหรับผู้ชายน้ำหนักที่เหมาะสม (ก.ก.) คือ ความสูง(ซ.ม.) – 100<br /><br />สำหรับผู้หญิงน้ำหนักที่เหมาะสม (ก.ก.) คือ {ความสูง(ซ.ม.)-100} – 10 %<br /><br />ค่าน้ำหนักมาตรฐานที่ได้นี้จะบวกลบได้อีกประมาณ 3-5 กิโลกรัม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับโครงสร้างของร่างกาย หากผู้ป่วยมีน้ำหนักมากกว่าค่ามาตรฐานจะพิจารณาได้ว่า “อ้วน”</div><div><br /></div><div><b>การควบคุมอาหาร</b>เป็นสิ่งสำคัญมากในการควบคุมเบาหวาน เพื่อให้การควบคุมอาหารเป็นไปอย่างได้ผลผู้ป่วยเบาหวานควรได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องจากนักโภชนาการในเรื่องการเลือกกินอาหารเพื่อนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้จริงในการเลือกกินอาหารให้ถูกชนิดและได้สัดส่วนที่ถูกต้องอันจะส่งผลดีต่อการป้องกันและชะลอการเกิดโรคแทรกซ้อนและทำให้การควบคุมเบาหวานเป็นไปได้ด้วยดี.</div>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-7307001233804734195.post-2127540409253924662010-01-27T18:24:00.005+07:002024-01-07T17:23:24.626+07:00โรคเบาหวานมีกี่ประเภท (Type of Diabetes)<!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:UseFELayout/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style>
/* Style Definitions */
table.MsoNormalTable
{mso-style-name:ตารางปกติ;
mso-tstyle-rowband-size:0;
mso-tstyle-colband-size:0;
mso-style-noshow:yes;
mso-style-parent:"";
mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt;
mso-para-margin:0cm;
mso-para-margin-bottom:.0001pt;
mso-pagination:widow-orphan;
font-size:10.0pt;
font-family:"Times New Roman";
mso-fareast-font-family:"Times New Roman";}
</style> <![endif]--> <b>โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus)</b> แบ่งได้เป็น 4 ประเภทคือ 1. เบาหวานประเภทที่ 1 (Type 1 Diabetes) 2. เบาหวานประเภทที่ 2 (Type 2 Diabetes) 3. เบาหวานอื่นๆ (Other Specific Types) เช่น โรคของตับอ่อน โรคทางต่อมไร้ท่อเป็นต้น และ 4. เบาหวานที่เกิดกับคนตั้งครรภ์ (Gestational Diabetes Mellitus)<div><br /></div><div><b>โรคเบาหวาน</b>เป็นโรคที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้กับทุกคนที่มีความประมาทในการใช้ชีวิตประจำวัน ยิ่งพวกที่กินตามใจปากและสรรหาสิ่งที่ทำร้ายร่างกายมาสู่ตัวเช่น เหล้า บุหรี่ สิ่งเสพติด ฯลฯ จะมีโอกาสเป็นเบาหวานได้มากกว่าคนทั่วไปไม่จำเป็นว่าโรคเบาหวานต้องเกิดกับผู้สูงอายุเท่านั้น ผู้ป่วยเบาหวานในประเทศไทยส่วนมากจะเป็นเบาหวานประเภทที่ 2 ซึ่งเบาหวานแต่ละประเภทก็มีความแตกต่างกันหลายๆอย่างทั้งในเรื่องการดูแลสุขภาพ การใช้ยา การควบคุมอาการ ฯลฯ ความเจริญก้าวหน้าของการรักษาโรคเบาหวานจะแบ่งเป็น 3 ส่วนคือ 1. การค้นพบอินซูลิน 2. การใช้ยาปฏิชีวนะ และ 3. การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตนเอง ยิ่งการรักษาเบาหวาน (Diabetes Treatment) มีความก้าวหน้ามากขึ้นเท่าใดก็จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมอาการและใช้ชีวิตอยู่กับเบาหวานได้นานขึ้นในระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วยเช่นกัน</div><div><br /></div><div><br /></div><div><b>โดยหลักแล้วโรคเบาหวาน</b>ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ สิ่งที่ทำได้คือการหาทางควบคุมอาการของโรคคือระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับที่เท่ากับหรือใกล้เคียงกับคนปกติให้ได้มากที่สุด การกระทำดังกล่าวจะป้องกันอาการที่อาจเกิดแทรกซ้อนขึ้นมาจากโรคเบาหวาน การควบคุมน้ำตาลในเลือดนั้นต้องมีการปรับพฤติกรรมการกิน การออกกำลังกาย การพักผ่อนและการใช้ยาให้เหมาะสมจึงจะสามารถควบคุมอาการของโรคให้อยู่ในระดับปกติได้ ผู้ป่วยที่มีกำลังใจดีและยอมรับความจริงจะสามารถอยู่กับโรคเบาหวานได้อย่างที่มีคุณภาพชีวิตใกล้เคียงกันคนปกติ</div>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-7307001233804734195.post-75689135701153071462010-01-26T20:10:00.001+07:002024-01-07T17:16:25.132+07:00การออกกำลังกายกับเบาหวาน (Exercise and Diabetes)<b>ดังที่ทราบกันแล้วว่า การควบคุมเบาหวาน</b>ก็คือการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับปกติที่นอกจากจะทำได้โดยการควบคุมอาหารแล้วยังสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้อีกวิธีคือ การออกกำลังกาย ซึ่งจะส่งผลดีต่อระดับน้ำตาลในเลือดและยังมีประโยชน์อีกหลายประการจากการออกกำลังกายของผู้ป่วยเบาหวาน แต่ถึงกระนั้นการออกกำลังกายของผู้ป่วยเบาหวานก็มีข้อควรระวังด้วยเช่นกัน<div><b><br /></b></div><div><b>ขณะออกกำลังกาย</b>ร่างกายจำเป็นต้องใช้พลังงานในการเคลื่อนไหวร่างกายและแหล่งของพลังงานที่ที่สำคัญที่สุดก็คือน้ำตาลนั่นเอง หากผู้ป่วยเบาหวานออกกำลังกายได้อย่างพอดีร่างกายจะเปลี่ยนน้ำตาลในเลือดให้กลายเป็นพลังงานในปริมาณที่มากพอจนสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดลงได้ การออกกำลังกายยังมีผลดีต่อผู้ป่วยเบาหวานคือทำให้เนื้อเยื่อของร่างกายมีความไวต่อฮอร์โมนอินซูลินมากขึ้นซึ่งจะเป็นผลให้ร่างกายสามารถใช้น้ำตาลได้มากขึ้นด้วยอินซูลินในปริมาณที่เท่าเดิม</div><div><br /></div><div><b>การออกกำลังกาย</b>ยังทำให้ร่างกายแข็งแรง น้ำหนักตัวลดลงและช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ทำให้สามารถควบคุมเบาหวานได้ง่ายขึ้น สุขภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจของผู้ป่วยเบาหวานก็จะดีขึ้นอารมณ์แจ่มใสขึ้น การออกกำลังกายยังช่วยลดคลอเรสเตอรอลในเลือดให้ต่ำลงได้ทำให้ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดและเส้นเลือดหัวใจอุดตันน้อยลง</div><div><br /></div><div><b>ข้อควรระวังในการออกกำลังกาย</b>ของผู้ป่วยเบาหวาน หากผู้ป่วยเบาหวานยังควบคุมเบาหวานได้ไม่ดีพอการออกกำลังกายที่ไม่ถูกต้องและหักโหมเกินไปอาจทำให้เกิดภาวะกรดคั่งในเลือดได้(สารคีโทน) ผู้ป่วยเบาหวานที่มีอาการปลายประสาทเสื่อมที่อาจมีบาดแผลจากการออกกำลังกายโดยไม่รู้ตัวควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่ส่งแรงกระแทกหนักๆไปที่เท้า ส่วนผู้ป่วยเบาหวานที่อาจมีโรคแทรกซ้อนจากหลอดเลือดหัวใจตีบหากออกกำลังกายมากเกินไปจะทำให้เกิดภาวะหัวขาดเลือด แน่นหน้าอกและหัวใจเต้นผิดปกติซึ่งเป็นอันตรายที่ร้ายแรงมาก</div><div><br /></div><div><b>แม้ว่าการออกกำลังกาย</b>ของผู้ป่วยเบาหวานเป็นสิ่งที่ควรทำ แต่การเริ่มต้นความเริ่มจากการควบคุมเบาหวานให้ดีเสียก่อนและก่อนออกกำลังกายควรปรึกษาแพทย์โดยการตรวจให้แน่ใจก่อนว่าผู้ป่วยเบาหวานไม่มีปัญหาเกี่ยวกับเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ การออกกำลังกายของผู้ป่วยเบาหวานควรมีการวางแผนแบบค่อยเป็นค่อยไปอย่าหักโหมและทุกอย่างควรอยู่ในความดูแลของแพทย์เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพควบคู่ไปกับความปลอดภัย.</div>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-7307001233804734195.post-29927463309451377202010-01-25T21:52:00.001+07:002024-01-07T17:14:32.409+07:00การดูแลสุขภาพเมื่อเป็นโรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus)<b>เบาหวาน (Diabetes Mellitus)</b> เป็นโรคที่เรื้อรังและไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ สิ่งที่ทำได้คือการประคับประคองไม่ให้เกิดอาการของโรคแทรกซ้อนซึ่งจะทำให้อาการหนักมากขึ้น เบาหวานเป็นโรคที่หากไม่เกิดขึ้นกับตัวเองแล้วจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาแต่หากเกิดขึ้นกับตัวเองแล้วจะเกิดอาการกลัว ตกใจและสับสนซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงทั้งทางร่างกายและจิตใจของผู้ป่วยเบาหวานเอง<div><b><br /></b></div><div><b>สุขภาพจิตของผู้ป่วยเบาหวาน</b>จะแสดงออกได้หลายลักษณะ บางคนเมื่อรู้ว่าเป็นเบาหวานจะเกิดการต่อต้านและรู้สึกฉุนเฉียว หงุดหงิดง่ายที่ต้องมีภาระในการบำบัดรักษาเบาหวานทำให้กิจวัตรประจำวันของตนเองต้องเปลี่ยนไป บางคนอาจเกิดอาการไม่ยอมรับความจริง ไม่กล้าไปพบแพทย์ ไม่ยอมรับฟังคำอธิบายเกี่ยวกับโรคเบาหวานจากใครทั้งสิ้น บางคนเมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นเบาหวานจะพยายามปกปิดและทำตัวเหมือนไม่ได้เป็นเบาหวาน เมื่อต้องตรวจระดับน้ำตาลในเลือดก็จะพยายามควบคุมทุกอย่างให้คนรอบข้างเห็นว่าไม่ได้เป็นเบาหวานแต่หลังจากนั้นก็ปล่อยปละละเลยเช่นเดิม</div><div><br /></div><div><b>ผู้ป่วยเบาหวานบางคน</b>ก็ยอมรับความจริงให้ความร่วมมือและพยายามที่จะบำบัดรักษาโรคเบาหวานที่เกิดกับตัวเอง ไม่ว่าสุขภาพจิตและอารมณ์ของผู้ป่วยเบาหวานจะแสดงออกมาในลักษณะใด สมาชิกในครอบครัวหรือคนรอบข้างควรเข้าใจและให้กำลังใจพยายามอธิบายให้ผู้ป่วยเบาหวานเข้าใจถึงสาเหตุและวิธีการรักษาโรคเบาหวานด้วยความมีเหตุมีผล ให้ผู้ป่วยเบาหวานพยายามปรับตัวให้เข้ากับกิจวัตรประจำวันในรูปแบบใหม่เพื่อให้ผู้ป่วยเบาหวานสามารถอยู่กับเบาหวานได้อย่างคนปกติ</div><div><br /></div><div><b>สิ่งที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานต้องปรับตัว</b>คือ หมั่นมาพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอและตั้งใจปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์ด้วยความพยายาม การปฏิบัติตนตามคำแนะนำของแพทย์จะมีเป้าหมายอยู่ที่การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ใกล้เคียงกับคนปกติโดยมีแผนการรักษาคือ ควบคุมอาหาร(ปรับพฤติกรรมการกินอาหาร) ออกกำลังกายและมาพบแพทย์ตามกำหนดเพื่อตรวจร่างกายและประเมินอาการโรคเบาหวานเพื่อหาทางปรับเปลี่ยนวิธีการรักษาโรคเบาหวานให้เหมาะสมกับตัวผู้ป่วย</div><div><br /></div><div><b>สิ่งที่สำคัญที่สุด</b>ที่จะช่วยให้ผู้ป่วยเบาหวานสามารถเผชิญหน้าและอยู่กับโรคเบาหวานได้คือ ตัวผู้ป่วยเอง หากตัวผู้ป่วยท้อแท้ไม่ยอมช่วยเหลือตัวเองหรือให้ความร่วมมือกับแพทย์ในการรักษาเบาหวานก็ยากที่จะประคับประคองให้อยู่กับโรคเบาหวานอย่างปกติสุขได้ คนรอบข้างหรือสมาชิกในครอบครัวคงทำได้แค่ให้กำลังใจ ปลอบใจ อธิบายด้วยเหตุผลเพื่อให้ตัวผู้ป่วยเองเกิดความรักตัวเองและเข้าใจถึงความห่วงใยของคนรอบข้างทำให้เกิดกำลังใจในการรักษาตนเอง ถึงแม้โรคเบาหวานไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้แต่มีคนจำนวนมากที่ตั้งใจรักษาดูแลสุขภาพพยายามควบคุมและอยู่กับโรคเบาหวานจนสามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้เหมือนกับคนปกติ.</div>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-7307001233804734195.post-39890664276130482942010-01-21T20:25:00.002+07:002024-01-07T17:12:19.466+07:00โรคเบาหวานขึ้นตา (Diabetic Retinopathy) สาเหตุและอาการ<!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:UseFELayout/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style>
/* Style Definitions */
table.MsoNormalTable
{mso-style-name:ตารางปกติ;
mso-tstyle-rowband-size:0;
mso-tstyle-colband-size:0;
mso-style-noshow:yes;
mso-style-parent:"";
mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt;
mso-para-margin:0cm;
mso-para-margin-bottom:.0001pt;
mso-pagination:widow-orphan;
font-size:10.0pt;
font-family:"Times New Roman";
mso-fareast-font-family:"Times New Roman";}
</style> <![endif]--> <b>เบาหวานขึ้นตา (Diabetic Retinopathy) </b>เป็นอาการแทรกซ้อนอย่างหนึ่งของโรคเบาหวานเนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงขึ้นมากและผลจากน้ำตาลในเลือดที่สูงขึ้นจะแสดงผลออกมาบริเวณดวงตาทำให้บริเวณลูกตาหรือจอรับภาพมีเลือดออกมาบดบังการมองเห็น หากปล่อยให้อาการรุนแรงขึ้นจะทำให้อาการลุกลามจนทำให้สูญเสียการมองเห็นหรือตาบอดได้<div><br /></div><div><b>เบาหวานขึ้นตา</b>มีสาเหตุจากเกิดความผิดปกติที่เส้นประสาทตาเนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงทำให้เส้นเลือดฝอยที่ไปเลี้ยงประสาทตาเกิดจากอุดตันจนผนังเส้นเลือดไม่สามารถรับได้ทำให้เส้นเลือดบริเวณจอรับภาพแตก อาการเบาหวานขึ้นตาเมื่อเริ่มเป็นจะไม่มีความผิดปกติเกี่ยวกับการมองเห็นเพราะเส้นเลือดฝอยในตาที่แตกอาจเกิดขึ้นตรงบริเวณอื่นที่ไม่ใช่ส่วนของจอรับภาพจึงไม่กระทบกับการมองเห็นผู้ป่วยที่เริ่มเป็นจึงไม่รู้ตัวกว่าจะรู้ตัวก็ต้องรอจนอาการลุกลามจนถึงศูนย์กลางการรับภาพที่ทำให้เกิดความผิดปกติในการมองเห็น</div><div><br /></div><div><b>การอุดตันของเส้นเลือดในดวงตา</b>ทำให้เส้นประสาทตาขาดเลือดไปเลี้ยง ร่างกายจะมีการสร้างเส้นเลือดใหม่ขึ้นมาแทนในส่วนของจอรับภาพที่ขาดเลือดไปเลี้ยง แต่เส้นเลือดใหม่เหล่านี้มีความเปราะบางและถูกสร้างขึ้นใหม่แบบไม่มีระเบียบจึงทำให้แตกได้ง่ายทำให้เกิดผลต่อเนื่องคือมีเลือดขังอยู่ในลูกตาซึ่งรบกวนการมองเห็นของผู้ป่วยหรืออาจทำให้ตามืดลงอย่างทันทีก็ได้</div><div><br /></div><div><b>หากตรวจพบเบาหวานขึ้นตา</b> (Diabetic Retinopathy) โดยเร็วจะทำให้การดูแลรักษาเป็นไปได้ดีขึ้น การตรวจสุขภาพดวงตาปีละครั้งเป็นการป้องกันอาการผิดปกติที่จะเกิดขึ้นกับดวงตาได้ หากมีโรคแทรกซ้อนต่างๆที่เริ่มเกิดขึ้นจะตรวจพบได้แต่เนิ่นๆ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการดูแลรักษา โรคเบาหวานเป็นโรคที่เกิดขึ้นกับระบบต่างๆของร่างกายซึ่งอาจจะส่งผลกระทบกับส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายได้ทุกเมื่อ ดังนั้นควรให้ความสนใจกับการตรวจสุขภาพประจำปีอย่างน้อยปีละครั้งเพื่อความปลอดภัยของคุณเอง</div>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-7307001233804734195.post-27194802028443459872010-01-19T17:55:00.001+07:002024-01-07T17:10:46.239+07:00โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus) อินซูลิน (Insulin) และน้ำตาลกลูโคส (Glucose) เกี่ยวข้องกันอย่างไร<b>คนเราจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างปกติ</b>จะต้องมีการกินอาหาร ร่างกายจะย่อยอาหารและทำการเผาผลาญให้ได้สารอาหาร สารอาหารที่ให้พลังงานได้แก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีนและไขมันซึ่งจะถูกย่อยจนกลายเป็นน้ำตาลกลูโคส (Glucose) กรดอะมิโนและกรดไขมัน พลังงานที่ได้จากการเผาผลาญอาหารบางส่วนจะนำไปใช้ได้ทันทีแต่บางส่วนก็ถูกนำไปเก็บสะสมตามอวัยวะต่างๆเพื่อเป็นพลังงานสำรองไว้ใช้ยามร่างกายขาดแคลนพลังงาน<div><br /></div><div><b>แหล่งพลังงานที่สำคัญ</b>ต่อร่างกายโดยเฉพาะเซลล์สมองคือ น้ำตาลกลูโคส (Glucose) น้ำตาลในเลือดจะถูกเซลล์ต่างๆนำไปใช้ประโยชน์กับร่างกายโดยมีฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) เป็นตัวนำน้ำตาลเข้าสู่เซลล์เพื่อเผาผลาญให้ได้พลังงาน โดยรวมคือฮอร์โมนอินซูลินจะทำให้มีการนำสารอาหารที่เราบริโภคไปใช้สร้างเป็นพลังงานที่ต้องใช้ทันทีและบางส่วนก็ถูกเก็บสำรองไว้ตามเนื้อเยื่อต่างๆในร่างกาย</div><div><br /></div><div><b>ฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin)</b> จะถูกหลั่งออกมามากน้อยขึ้นอยู่กับระดับน้ำตาลในเลือดที่เป็นตัวส่งสัญญาณกระตุ้นหรือยับยั้งการหลั่งฮอร์โมนอินซูลิน ในภาวะปกติค่าของระดับน้ำตาลในเลือดควรอยู่ระหว่าง 55-140 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงหรือต่ำกว่านี้จะเกิดผลเสียต่อการนำพลังงานไปใช้ของร่างกาย</div><div><br /></div><div><b>โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus)</b> มีสาเหตุมาจากการขาดฮอร์โมนอินซูลินหรืออินซูลินทำงานได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้ร่างกายไม่สามารถควบคุมกลไกในการเผาผลาญสารอาหารได้ตามปกติ การที่ร่างกายขาดอินซูลินหรือดื้อต่ออินซูลินจะทำให้กระบวนการที่เซลล์ต่างๆนำไขมันและโปรตีนไปใช้เกิดขัดข้องทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติ</div><div><br /></div><div><b>ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูง</b>เกินกว่าความสามารถของไตที่จะเก็บกักน้ำตาลไว้ได้จนล้นหรือถูกขับออกมาทางปัสสาวะและจะดึงเอาน้ำออกมาพร้อมกับน้ำตาลด้วยทำให้ร่างกายต้องปัสสาวะบ่อยและจากการสูญเสียน้ำออกมาทางปัสสาวะจำนวนมากทำให้เกิดอาการคอแห้งและกระหายน้ำมากซึ่งนั่นคืออาการของโรคเบาหวานนั่นเอง.</div>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-7307001233804734195.post-86148595512110458712010-01-18T23:43:00.002+07:002024-01-07T17:08:46.959+07:00โรคแทรกซ้อนของหัวใจและหลอดเลือดแดงที่มีสาเหตุจากเบาหวาน (Diabetes)<b>ภาวะเส้นเลือดตีบแข็ง (Atherosclerosis)</b> จะเกิดขึ้นกับผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดีเป็นระยะเวลานาน หากภาวะเส้นเลือดตีบแข็งเกิดขึ้นกับอวัยวะส่วนใดก็จะทำให้อวัยวะส่วนนั้นทำงานผิดปกติเช่น หากเส้นเลือดสมองตีบ อุดตัน ก็จะทำให้เกิดอาการเป็นอัมพาต หากเส้นเลือดหัวใจตีบก็จะทำให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือดหรือหัวใจวายและที่พบบ่อยคือเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อขาตีบตันทำให้แขนขาอ่อนแรง ปวดขาเวลาเดินจนอาการลุกลามทำให้ผู้ป่วยเบาหวานต้องถึงกับสูญเสียขาไปเลย<div><br /></div><div><b>สาเหตุที่ทำให้เกิดเส้นเลือดตีบตัน</b>ในผู้ป่วยเบาหวานมีหลายสาเหตุ อาจเกิดจากผู้ป่วยเบาหวานมีไขมันในเลือดสูง(ไตรกลีเซอไรด์ ,คลอเรสเตอรอล) ไขมันเหล่านี้จะเกาะตามผนังหลอดเลือดและจับตัวเป็นคราบแข็งบริเวณผนังหลอดเลือดหรืออาจเกิดจากเกล็ดเลือดของผู้ป่วยเบาหวานจับตัวกันได้ง่ายทำให้เกิดเป็นคราบแข็งที่ผนังหลอดเลือด ผู้ป่วยเบาหวานจะมีสารต้านการแข็งตัวของเลือดอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าคนปกติทำให้เลือดแข็งตัวได้ง่ายกว่า ที่กล่าวมาแล้วล้วนเป็นสาเหตุที่ทำให้หลอดเลือดตีบแข็งได้ง่ายในผู้ป่วยเบาหวาน</div><div><br /></div><div><b>ในผู้ป่วยเบาหวาน</b>จะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจได้มาก อาจจะเป็นภาวะหัวใจล้มเหลวหรือกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดที่เป็นโรคหัวใจชนิดที่ไม่มีอาการเจ็บหน้าอกเตือนให้ทราบล่วงหน้า ดังนั้นการที่ไม่มีอาการเตือน(เจ็บหน้าอก)ขณะเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดจะเป็นอันตรายอย่างมากเพราะผู้ป่วยจะไม่ได้รับการรักษาที่ทันท่วงที สาเหตุของภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดที่ไม่มีอาการเตือนนั้นเกิดจากการเสื่อมของเส้นประสาทอัตโนมัติที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจที่มีสาเหตุมาจากผลแทรกซ้อนจากเบาหวานนั่นเอง</div><div><br /></div><div><b>โดยตัวของโรคเบาหวานเอง</b>แล้วสามารถทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวในผู้ป่วยเบาหวานได้โดยที่เส้นเลือดหัวใจยังไม่ตีบตัน กลไกการเกิดโรคหัวใจที่เป็นโรคแทรกซ้อนจากเบาหวานอาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของผนังหลอดเลือดฝอย การโป่งพองของหลอดเลือดในกล้ามเนื้อหัวใจ การเกิดพังผืดในกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจถูกทำลายจนเกิดความผิดปกติในการบีบและคลายตัวของหัวใจ อันเป็นสาหตุของ “หัวใจล้มเหลว” ในผู้ป่วยเบาหวาน</div><div><br /></div><div><b>การรักษาภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด</b> อาจทำได้โดยการผ่าตัดต่อเส้นเลือดหัวใจหรือการขยายหลอดเลือดโดยใช้วิธีทำบอลลูนเพื่อขยายเส้นเลือดที่หัวใจ แต่ในกลุ่มผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานจะพบว่ามีอัตราการตีบซ้ำของเส้นเลือดหัวใจและอัตราการเสียชีวิตค่อนข้างสูงกว่าคนกลุ่มปกติ</div>Unknownnoreply@blogger.com